11/16/2005

กลับบ้าน



นอกจากได้เที่ยวแดนกังหันลมแล้ว พ่อแม่และพี่ๆ ยังได้พาผมไปเที่ยวอีกหลาย
แห่ง ไม่ว่าจะเป็นสวนดอกทิวลิปที่เค้าว่าสวยที่สุดในโลก ศาลโลกที่เค้าว่าเป็น
ศาลของโลก แล้วก็วนกลับมาเที่ยวเมืองหลวงของแดนกังหันแห่งนี้เป็นที่ๆ
สุดท้าย โรงแรมที่พักปลายทางค่อนข้างดี ทำให้เราไม่ต้องรีบเร่งในตอน
เช้าอีกแล้ว พ่อมีเวลานอนส่งเสียงสิงโตจนเต็มอิ่ม เช้าเราก็ไม่ต้องรีบเร่ง มีเวลา
นั่งทานอาหารของโรงแรมอย่างเต็มที่ จนเจ้าพนักงานเอาของมาเสริฟแทบไม่ทัน




ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากการเดินทางไกลร่วมกับพ่อและแม่หนนี้ แต่
ที่สำคัญที่สุดคือผมพลิกตัวได้ นอกจากนั้นยังมีบทเรียนอีกหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่ผมคงต้องรู้ นั่นคือผมไม่ใช่เด็กที่ยังเดินไม่ได้คนเดียวในโลก วันที่ไปเที่ยวสวน
ทิวลิป ผมต้องพบกับความน่ากลัวในระหว่างที่ขึ้นรถบัสกลับสถานีรถไฟ พ่อเอา
ผมใส่รถและจอดรถบนรถบัสเคียงข้างกับเด็กจีนที่อายุมากกว่าผมแค่สองเดือน
ตอนนั้นผมหกเดือนได้แล้ว แต่เด็กคนนั้นรูปร่างใหญ่โตกว่าผมมาก ทุกวันนี้ผม
ก็ยังคิดว่าเค้ายังตัวใหญ่กว่าผม วันนั้นในขณะที่ผมนอนเบาใจอยู่ในรถ เจ้ายักษ์
จีนก็โผล่หน้าเข้ามา แล้วร้องทักทายผม



"่ว่าไงไอ้ตัวเล็ก"



"เล็กแต่ซ่าส์โว้ย" ผมตอบโดยที่ยังไม่ได้หันไปมองว่าใครทัก



"หันมาหน่อยดิ ไอ้ตัวเล็ก มีอะไรจะให้ดู"



ผมหันไปทันทีด้วยสัญชาติญาณ ภาพที่เห็นคือเด็กที่ตัวใหญ่กว่าผมเกือบสอง
เท่า แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือเค้าคนนั้นขาวจนซีดเผือก แต่ลืมตาเกิดมาผมยังไม่
เคยเห็นใครขาวได้ขนาดนี้ ผมเหลือบไปมองดูแขนของตัวเอง แล้วพยายาม
เปรียบเีทียบ ไม่ใช่แน่ ไม่ใช่แน่ๆ ผมไม่ไหวแล้ว ผมหันไปมองพ่อซึ่งยืนยิ้มแต้
อยู่ พร้อมกับส่งสัญญาณว่าผมไม่ไหวแล้วอุ้มผมหน่อยจนลั่นรถ แง้ แง้ พ่อช่วย
ด้วย



นั่นเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝัน กลับมาถึงบ้าน เพื่อการเตรียมพร้อม ผมเลยฟิต
ร่างกายพลิกซ้ายพลิกขวา พร้อมกับหัดส่งเสียงดังเพื่อขู่คนอื่นให้กลัว ไม่หล่ะ
ผมจะไม่ยอมอีกแล้ว วันก่อนพ่อเอาปูไขลานสีแดงมาให้เล่น มันเดินแกลกๆ
มาหาผม แหะ แหะ น่ากลัวอ่ะ ผมลองส่งเสียงขู่มันให้กลัว "ปู้ ปู้" ไม่ได้ผลเลย
ซักนิด มันยังคงย่างสามขุมเข้ามาหาผม นี่ผลของการฝึกซ้อมไม่ได้ผลอะไรเลย
เหรอไง มันยังเดินเข้ามาหาผม ไม่ไหวแล้ว แง้ แง้ พ่อช่วยด้วย