5/27/2005

ตะลุยแดนกังหันลม 1



แม่เป็นคนที่สวยและใจดีที่สุดสำหรับผมเสมอ บ่อยครั้งที่แม่ทำ่ท่าเบื่อผม
สุดขีดตอนตีสามที่ผมตื่นขึ้นมาบิดตัวแล้วร้องหงิงๆ โดยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
แต่ผมก็รู้ว่าแม่จะเป็นอย่างนั้นอยู่พักเดียว ระหว่างพ่อกับแม่นั้นต่างกันมาก
พ่อดูเป็นคนที่กังวลไปซะทุกเรื่อง การคาดการณ์ล่วงหน้าของพ่อล้วนแล้ว
แต่เป็นเป็นการคิดเผื่อสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดเสมอ สิ่งนี้ทำให้พ่อไม่มี
ความสุขนักในการเตรียมตัว ในขณะที่แม่จะเป็นตรงกันข้ามเสมอ แม่มักจะ
ไม่กลัวอะไรเลย แม่จะมั่นใจในสองขาและสองแขนของแม่เสมอว่าจะนำ
แม่ไปได้ทุกๆ ที่ในโลก ถ้าพ่อไปด้วย

โชคดีเป็นของเราที่เหล่าพี่ๆ ได้อาสาเตรียมเสบียงไปเผื่อ แน่นอนไม่ได้เผื่อ
ผม เพราะผมยังกินไม่ได้ ถึงจะนอนหลับก็เถอะ และนั่นก็ทำให้แม่กับพ่อเบา
แรงไปเยอะ เช้าวันนี้มือถือที่พ่อใช้งานเป็นนาฬิกาปลุกซะส่วนใหญ่ก็ทำหน้า
ที่ของมันอย่างดี เรามีเวลาเหลืออีกประมาณหนึ่งชั่วโมงในการเตรียมตัว เพราะพี่ๆ จะมารับที่บ้านประมาณตีห้าสิบนาที
เพื่อให้ไปทันรถไฟเที่ยวตีห้าสี่สิบ ขณะที่ผมยังนอนหลับสบายโดยมีเสียงเล็ดลอดออกมาจากมุมปากเพื่อยืนยันการหลับ
ในขณะที่แม่จัดของใช้ต่างๆ ของทั้งสามชีวิต พ่อก็รับหน้าที่ดูแลตัวเองกับผม ไม่ว่าจะเช็ดตัวหรือแต่งตัวให้ผม รวมไป
ถึงการคอยเล่นกับผมเมื่อผมเผลอตื่นขึ้นมา ครอบครัวเราก็มักเป็นเช่นนี้เสมอ ทั้งนี้เพราะว่าการที่แม่จัดเตรียมของใช้
นั้น ด้วยความที่เป็นคนละเอียดรอบครอบ 99% ของทั้งหมดจะสมบูรณ์แบบ รับประกันได้ว่าไม่มีการลืม แต่ถ้าให้พ่อ
เป็นคนเตรียม รับประกันอีกเหมือนกันว่าเราจะต้องซื้อของเพิ่มกลางทางอีกมาก การเตรียมข้าวของสำหรับการเดินทาง
เป็นไปอย่างรวดเร็วบ้างช้าบ้างสลับไปมา พ่อกังวลอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องปวดอึ กลัวว่าจะไปปวดบนรถไฟ ซึ่้งถ้าเลือกได้
พ่อจะไม่อึขณะเดินทาง แต่ถ้าอยู่ที่ที่พักก็ถือว่าใช้ได้

เราเดินทางมาถึงสถานนีรถไฟก่อนเวลาเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะได้พี่โซ่พี่ริกช่วยขนกระเป๋า ซึ่งเรามีกันสามใบบวกกับรถ
เข็นของผมอีกหนึ่งคัน ทำให้เราสบายขึ้นและก็ได้พี่ทั้งสองที่คอยเล่นกับผมไปตลอดทาง ทำให้ผมไม่รู้สึกหวาดกลัว
อะไรกับการที่ต้องเดินทางในขณะที่ฟ้ายังไม่สว่าง เป็นไปตามคาดที่พ่อเดินทางด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี ไม่ใช่ปวดอึแต่เป็น
เพราะว่าพ่อกังวลว่าจะจำเวลาผิดบ้าง หรือไม่ก็รถไฟแน่นไม่มีที่ว่างสำหรับผมบ้าง พ่อเีริ่มรู้สึกดีขึ้นบ้างเมื่อรู้ว่าพี่ริกก็เป็น
อีกคนที่กลัว passport จะหา พี่ริกคล่ำดูมันแทบทุกๆ ครั้งที่มีคนเอ่ยถึง และเป็นพ่อนั่นเองที่คอยแกล้งพี่ริกไปตลอด
ทาง

เมื่อถึงที่นัดหมาย เราก็ต้องนั่งคอยสมาชิกอีกหลายคนที่บ้านอยู่ไกลกว่าและเวลาในการเดินทางไม่สามารถกำหนด
ได้ขึ้นอยู่กับตารางเดินรถ สิ่งที่ปลดปล่อยพ่อออกจากความกังวลก็เห็นจะเป็นสาวน้อยหน้าแป้น พี่เจิน ที่นั่งเป็นเครื่อง
ยืนยันว่าครอบครัวของเราไม่ได้มาผิดที่ผิดเวลา นั่นทำให้พ่อยิ้มได้ เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ แม้เข็มวินาทีจะทำหน้าที่ของ
มันอย่างซื่อสัตย์ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะวิ่งเร็วบ้างช้าบ้างในสายตาของพ่อ ผมเองไม่ได้กังวลอะไรได้แต่ส่งยิ้มเล่นกับ
พี่ๆ ตลอดเวลา ตราบใดที่ผมยังได้กลิ่งหอมๆ ของแม่และกลิ่นตุๆ ของพ่อ มันก็ยังทำให้ผมสดชื่นสดใสได้ตลอดเวลา

5/26/2005

เตรียมตัวไปเที่ยวแดนกังหันลม



วันก่อนมีน้องนักเรียนไทยมาหาพ่อกับแม่ เรียกพี่แก๊ปแล้ว
วัตถุประสงค์จริงๆ ของพี่แก๊ปคือเอาซาลาเปาที่ทำเองมา
ให้ (แม่ชอบมาก) แล้วตามมารยาทแม่ก็ชอบถามสารทุกข์
สุขดิบไปเรื่อง จนได้ความว่าอาทิตย์หน้าพี่ๆ เค้าจะไปเที่ยว
แดนกังหันลมกัน แม่ตาโตเท่าไข่หงส์ทันที เพราะความฝัน
หนึ่งของแม่คือได้ไปถ่ายรูปกับดอกทิวลิปที่แดนกังหันลม
นั่นแหละ ผมมองหน้าพ่อแล้วรู้สึกได้ว่าพ่อเป็นกังวลไม่ใช่
น้อย พ่อรู้ว่าแม่ต้องอยากไปแน่ๆ แต่พ่อกลัวเรื่องเงินและ
เรื่องของผม ผมยังเด็กนี่นา

แม่หันมามองพ่อด้วยสายตาวิงวอน พร้อมบอกถึงงบคร่าวๆ
ให้พร้อม นี่ถ้าไม่ถูกหวยก่อนหน้านี้ไม่กี่วันพ่อคงไม่ไปแน่
ถึงกระนั้นผมก็ยังเป็นตัวปัญหาที่ถูกยกขึ้นมาอยู่ดี

เอาเป็นว่าพ่อตอบตกลงไปแล้ว หน้าที่ๆ เหลือของพ่อกับแม่ก็คือต้องเตรียมความพร้อม พ่อต้องรับผิดชอบ
หน้าที่หลายอย่างตั้งแต่นัดน้องๆ ให้มาหาเพื่อจองโรงแรมให้ เพราะพ่อไม่เคยทำมาก่อน ด้วยความไม่เคย
พ่อจึงให้พี่ๆ ทำให้ทั้งหมด สิ่งที่พ่อต้องทำเองก็คือไปจองตั๋วรถไฟ ก็เป็นพี่แก๊ปอีกนั่นแหละที่จดเที่ยวรถ
เวลาและราคาเพื่อให้พ่อไปซื้อได้ไม่ผิด ตอนจองโรงแรมพ่อคงงกเงินมากไปหน่อยจึงเลือกที่ถูกที่สุดและ
สมเหตุผลในความคิดของพ่อมากที่สุด ทั้งที่จริงแล้วควรคำนึงถึงความสบายของผมและแม่เป็นอันดับแรก
ที่ทำให้เราได้ห้องนอนเตียงคู่ และต้องใช้ห้องน้ำรวม ในราคารวมอาหารเช้าคืนละ 80 ยูโร ซึ่งโรงแรมเหล่า
นี้ได้คุณภาพตั้งแต่ 1 ดาวลงไปทั้งสิ้น ซึ่งอันนี้พ่อก็ไม่ได้สนใจดูอีก คงปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา

เราโชคดีนิดหน่อยตรงที่วันที่เราไปจองตั๋วรถไฟ เป็นการจองล่วงหน้าเกินสามวันและวันที่ไปเป็นวันหยุด ทำ
ให้เราได้ตั๋วในราคาลดประมาณ 50% สองคนรวมกันประมาณ 132 ยูโร ออกจะโชคร้ายนิดนึงที่พี่ๆ อีก
5 คนได้จองไปแล้ว ทำให้เราไม่ได้ราคาที่ถูกลงไปอีก (คนละแค่ 40 ยูโร) ถึงกระนั้นก็ยังดี แต่พ่อก็ทำให้
แม่หัวใจเกือบหล่นไปกองที่พื้นอีก คือจำเวลาปิดของที่จองตั๋วรถไฟผิด ก็คือไปถึงมันก็ปิดไปแล้ว และวันนี้
เป็นวันสุดท้ายที่จะเป็นวันล่วงหน้า 3 วัน พ่อกับแม่และผมเดินคอตก และกำลังตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะมา
ใหม่ (พ่อคิดว่าไหนๆ ก็สายแล้วก็มามันตอนเย็นก็ไม่เป็นไรและคิดว่าซื้อตั๋วแพงก็ได้) ขณะที่เดินกลับมาได้
ครึ่งทางแล้วพ่อก็โทรถามพี่แก๊ปอีกว่ามีทางอื่นอีกไหม พี่แก๊ปแนะให้ซื้อจากตู้ (ตกลงพ่อไม่รู้อะไรเลยตาม
เคย) ระยะทางเกือบครึ่งกิโลทำให้แม่อิดออดนิดหน่อยในการเดินกลับไปที่เดิม พ่อแสดงอาการว่าถ้าแม่ไม่
ไปพ่อไปคนเดียวก็ได้ แม่ก็รอตรงนี้พร้อมลูก

ในที่สุดแม่ก็ยอมไปด้วย และนับเป็นโชคดีที่ถ้าแม่ไม่ไป รับประกันได้ว่าพ่อกดตู้ไม่ถูกแน่นอน และแล้วเรา
ก็ได้ตั๋วมา สิ่งที่เราต้องเตรียมเพิ่มในวันนั้นก็คือ นมพร้อมดื่มสำหรับทารก ที่เพียงพอสำหรับผมในการผจญ
ภัยในโลกกว้างสามวัน และพ่อก็ต้องกดเงินไปอีก 400 ยูโร เพื่อเป็นเงินสดติดตัวสำหรับไปเที่ยวสามวัน

5/18/2005

เมื่อหมาอ้วนโดนฉีดยา 2



ผมถูกจับนอนในรถเข็นคันโตสีน้ำเงินเข้มออกจากบ้านแต่เช้าตรู่
พ่อเองยังดูง่วงๆ ซึมๆ อยู่ แต่ด้วยภาระอันใหญ่หลวงที่ต้องทำให้
ผม ทำให้พ่อไม่เคยพลาดที่จะตื่นมาช่วยแม่ดูแลแต่งตัวให้ผม
บอกได้เลยว่าปกติแล้วพ่อเป็นคนเฉื่อยแฉะมากๆ

รถเข็นของผมถูกเข็นผ่านถนนที่ไม่รู้ว่ามีอายุกี่ร้อยปี ลักษณะก็
คล้ายถนนเก่าแก่หลายๆ แห่งในยุโรปแทนที่จะฉาบปูนหรือราด
ยางมะตอยเรียบๆ กลับคงอนุรักษ์ไว้ให้เป็นถนนที่ทำจากก้อนหิน
ที่วางต่อๆ กัน ข้อเสียของมันก็คือมันทำให้หัวผมกระดอนตาม
การขยับขึ้นลงของล้อรถเข็นยามที่มันตกลงไปร่องหินแล้วถูกพ่อดันขึ้นมา เมื่อก่อนพ่อไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ วางผมบน
รถแล้วๆ กัน ก่อนที่หัวผมจะบี้แบนมากไปกว่าที่เป็นอยู่นี้ พ่อก็รู้แล้วเอาหมอนมารองหัวผมก่อนที่จะเข็นผมผ่านถนน
โลกพระจันทร์ นานๆ เข้าก็เลยเอาหมอนดังกล่าวทิ้งไว้บนรถซะเลย

วันนี้ผมจะไปฉีดยาเข็มแรก ซึ่งถ้าอยู่ประเทศโลกที่สาม หรือประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่าเยอรมันอย่างเช่น
อังกฤษ หรือลิเบีย ผมก็คงถูกฉีดยาเข็มแรกไปตั้งแต่วันแรกๆ ที่ลืมตาได้แล้ว หัวข้อนี้ถูกยกขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนา
ยามเช้าแทนการกินกาแฟของพ่อกับเพื่อนชาวลิเบีย เพื่อนพ่อชาวลิเบียคนนี้ก็พึ่งมีลูกสาวที่มีอายุห่างจากผมไม่ถึง
สามเดือนเช่นกัน ด้วยความเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบแต่ก็ไม่ยอมให้เปรียบใครเหมือนกัน ลุงลิเบียก็เลยถามถึง
เรื่องการฉีดวัคซีนกับพ่อมิได้ขาด พ่อก็บอกตามนิสัยว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่เดี๋ยวหมอก็บอกเองหล่ะว่าต้องฉีดแล้วนะ
แต่ลุงลิเบียไม่ยอมหยุดง่ายๆ ด้วยเหตุผลข้างต้นว่า 90% ของประเทศในโลกใบนี้ล้วนแต่ฉีดวัคซีนให้เด็กแรกเกิด
ทั้งนั้น แต่ผมปาเข้าไปสองเดือนกว่าแล้ว ยังไม่พบว่ามีเข็มที่ยาวเกินหนึ่งเซนติเมตรเล่มไหนทะลุผ่านหนังกำพร้าไป
ได้เลย ความกังวลของลุงลิเบียนี้ได้ไปสร้างความลำบากให้กับย่าเยอรมันอย่างมาก เพราะเธอถูกร้องขอให้หาข้อ
มูลเรื่องนี้ให้ทั้งเช้าและเย็น ยกเว้นวันหยุด

จริงๆ แล้วพ่อก็ไม่สนหรอก ด้วยเชื่อมั่นเสมอว่าเดี๋ยวหมอก็ฉีดให้เองแหละน่า นี่ถ้าไม่ใช่ย่าเยอรมันกับแม่มีชะตา
ต้องกันมาตั้งแต่สุโขทัยเริ่มสร้างชาติหล่ะก็ ป่านนี้ผมอาจจะยังไม่ได้รับเชื้อโรคอ่อนแรงใดๆ เข้าไปในร่างกายเลย

เย็นวันหนึ่งแม่เดินยิ้มเข้าไปที่ห้องทำงานของพ่อ พร้อมกับแจ้งข้อมูลที่คนวงในเท่านั้นที่จะรู้ ชาวบ้านร้านตลาดรับ
รองได้ว่าไม่มีทางได้ยินถึงหูแน่ ข่าวนั้นแม่ได้มาจากย่าเยอรมัน ก็ไม่ใช่เรื่องอื่นคือเรื่องฉีดวัคซีนนั่นเอง ย่าผมถูก
ลุงลิเบียร้องขอให้หาข้อมูลให้ ที่นี่ก็แปลกจะฉีดวัคซีนให้เด็กก็หลังสองขวบไปแล้ว และจะไม่ฉีดหรือบอกข้อมูลให้
ถ้าไม่ได้ถูกร้องขอจากผู้ปกครอง (ที่เยอรมันคนที่อยู่นานๆ จะรู้เองว่าถ้าไม่ถามจะไม่บอกไม่ว่าเรื่องนั้นจะสำคัญ
ขนาดไหน) แม่ชี้ให้พ่อดูถึงตารางการฉีดวัคซีนซึ่งต้องถกกันเล็กน้อยเพราะเป็นภาษาของย่าไม่ใช่ของแม่ เอาเป็น
ว่าตอนที่รู้ข้อมูลนี้ผมก็สามเดือนแล้ว ดีที่ไม่เป็นอะไรไปซะก่อน

เมื่อรถเข็นยี่ห้อแพงแต่เก่าของผมถูกเข็นมาถึงโรงหมอแล้ว หมอที่รับฉีดยาและตรวจสุขภาพตามตารางเวลานี้ดู
หน้าตาจะแปลกไป สาวขึ้นและดูอารมณ์ดีขึ้น ก็ไม่แปลกเพราะไม่ใช่ยายหมอแล้วแต่เป็นป้าหมอ ป้าหมอเซ้งร้าน
หมอเด็ก 1 ใน 2 ของร้านหมอเด็กที่เมืองที่ผมอยู่จากยายหมอ เธอดูดีแต่แก่ไปหน่อยพ่อบอก หลังจากที่ผมถูก
ตรวจสิ่งที่เรียกว่า U4 ไปแล้วนั้น หมอก็เริ่มขบวนการฉีดวัคซีนให้ผม โดยการไปนำวัคซีนมา แล้วอธิบายให้แม่
ทราบถึงตัววัคซีนที่รวมอยู่ในเข็มเดียว พ่อก็ฟังอยู่ด้วยแต่ไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่าเหมือนเมืองไทยยกเว้นไม่มีการฉีด
ป้องกันวัณโรค (เยอรมันปลอดวัณโรคแล้ว และจะอนุญาตให้ฉีดวัคซีนสำหรับโรคนี้ได้หลังจากอายุั 18 ปี) อีกนั่น
แหละเรารู้เพราะว่าแม่ถาม

หมอสาวใหญ่จับผมขึง กางแขนกางขาในขณะที่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปยังไม่ได้ถูกถอดออก แต่เสื้อและกางเกงไม่มี
แล้ว นอกจากนั้นยังมีสาวน้อยน่ารักกางเกงเอวต่ำสีขาวบางใสมาคอยช่วยอีกแรง ผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่สงสัย
อยู่เพราะพ่อบอกว่าที่พ่อเคยเห็นน่ะ เค้าจะให้พ่อแม่อุ้มแล้วฉีดที่ตูด แต่นี่จับผมขึงทำไมกัน หมอสาวคงรู้ดีถึง
ความสงสัยนี้ เธอเลยจับหน้าโคนขาข้างขวา(หรือซ้ายหว่า) ของผมแล้วหัวเราะพร้อมกับบอกว่า ที่เยอรมันเราทำ
กันตรงนี้นะ ว่าแล้วเธอก็จับเข็มในท่าปาลูกดอก แล้วก็จิ้มจึกลงบนหน้าขาผม ซึ่งตรงนี้ผมรู้ดีว่าหมอไม่ได้ใจร้าย
หรอกที่จิ้มแรงอย่างนั้น แต่ตามตำราเค้าบอกว่าให้จิ้มลึกๆ ไม่งั้นมันจะเป็นไตแข็งสร้างความเจ็บปวดให้เด็กน้อย
อย่างผมได้ พ่อกับแม่รู้สึกตกใจไม่ใช่น้อยที่เมื่อผมถูกจิ้มจึกแล้วไม่ยักกับร้อง ผมไร้ความรู้สึกหรืออย่างไรเนี่ย
เพื่อสร้างความงุนงงยิ่งขึ้นผมก็ยิ้มซะเลย เมื่อหมอรู้สึกว่าเข็มเข้าที่เข้าทางแล้วก็บรรจงกดนิ้วโปงเพื่อดันให้วัคซีน
ไหลเข้าไปในสายโลหิตของผม ได้ผลผมร้องจ๊ากแล้วมองหน้าหมออย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าหมอที่น่ารัก
จะทำผมได้ลงคอ แง แง ไม่ได้ผล หมอก็หัวเราะชอบใจหน้าระรื่น แล้วก็แปะพลาสเตอร์อันเล็กๆ ตรงรอยแผล

ตามธรรมดาหลังฉีดวัคซีน ย่อมต้องมีผลข้างเคียง กล่าวคือผมอาจจะเป็นไข้ก็ได้ ดังนั้นควรจะได้รับการดูแลเป็น
พิเศษ พ่อก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่าต้องดูแลอะไรผมเป็นพิเศษหรือเปล่า หมอสาวยิ้มพร้อมกับทำหน้าฉงนว่า
ต้องด้วยเหรอ พ่อก็เลยบอกว่ากลัวว่าจะเป็นไข้น่ะ หมอก็ถึงบางอ้อตอบเป็นภาษาอังกฤษว่า อืม ก็ไม่ต้องดูแล
พิเศษอะไร แค่ระวังอย่าให้ผมหนีไปว่ายน้ำเล่นก็แล้วกัน