11/24/2006

ย้าย

ด้วยเหตุและผลที่มีมากมาย  ผมย้ายไปที่
http://pannawish.wordpress.com 

เรื่องเก่าจะทยอยย้ายไปที่ใหม่เน้อ

11/07/2006

ผมสองขวบแล้วครับ

ไอ้หนุ่มหน้านวลคนนี้ก็ครบสองขวบแล้วครับ
มีเรื่องเล่าเยอะแยะไปหมด ผมได้ของขวัญ
จากพี่ ๆ ชาวฮัมบวร์กเยอะแยะเลย ไว้จะมา
เล่าถึงงานวันเกิดผมให้ฟังนะครับ

8/22/2006

เมื่อหมาอ้วนตกเตียงแรง

 เรื่องตกเตียงนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของ ผมก็
 ตกมันเป็นประจำทุกอาทิตย์อยู่แล้ว เมื่อวาน
 ก็พึ่งตกจากเตียงตัวเอง กลิ้งลงมาเอียงกระเท่
 เล่อยู่ข้างล่าง แต่นั่นไม่หนักหนาอะไร ก็มัน
 เป็นเตียงเด็กความสูงไม่ถึงหนึ่งคืบ

 หนึ่งคืนก่อนหน้ามีเหตุการณ์ที่ค่อนข้างระทึก
 ขวัญ ผมลุกขึ้นมากลางดึกตามประสาคนไม่
 ชอบเปียก เมื่อลุกขึ้นมาตามประสาคนรักแม่
 ก็ต้องมองหาแม่เป็นธรรมดา หาแม่ไม่เจอก็
 ย่อม โมโห แม่ไปไหน ด้วยความที่ไม่ค่อยจะ
ระวังตัวอยู่แล้วตามประสา(อีกแล้ว)หมาง่วง จุดที่อยู่ก็ไม่น่าจะไปอยู่ ตรงนั้นมันเป็นขอบเตียง
ของพ่อกับแม่ พ่อที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นมามอง แม่ที่อยู่ไกลออกไปร้องเตือนให้ผมระวังจะตก
เตียงเสียงดังลั่น พ่อซึ่งอยู่ในอารมณ์ฝันก็ได้แต่ขยับตัว แต่แรงโน้มถ่องของโรคไม่เคยปราณี
ใคร มันลากศีรษะอันเบาะบางของผมเอียงลงไปยังพื้นเบื้องล่าง ไม่กี่วินาทีศีรษะซึ่งไม่ใช่ผล
ส้มก็หล่นไปกระทบพื้นดังลั่น จากหลับ ๆ ก็ตื่นขึ้นมาทันทีพร้อมทั้งน้ำตาของลูกผู้ชายก็เอ่อ
ล้นออกมาท่วมแปลงขนตาทันที ผมส่งเสียงร้องไห้ด้วยทั้งความเจ็บและความโกรธ สิ่งที่ร่ำ
ร้องหาตอนนี้มีแต่แม่แน่นอน ผมโผเข้าซบกับออกแม่ มันยังคงอบอุ่นเหมือนเคย ในขณะที่
แผ่นอกของแม่ทำหน้าที่ให้ความอบอุ่นอยู่นั้น ตาของแม่ก็ทำหน้าที่ผลิตน้ำตาพร้อมทั้งขับให้
มันไหลออกมาทันทีโดยไม่ตั้งตัว แม่ยอมรับผิดทุกเรื่อง ทั้ง ๆ
ที่ไม่ใช่ความผิดแม่ แต่เป็น
ความผิดผม

พ่ออาจจะเป็นคนเดียวในโลกที่สามารถทำใจให้สงบได้ในสถานการณ์อย่างนี้ มันไม่ใช่ครั้ง
แรก แต่มันจะเป็นต่อไป พ่อพยายามทำสีหน้าให้ดูตื่นตนกที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันไม่ง่าย
ใช่ พ่อพยักหน้าให้ผมนิดนึง และดูพออกพอใจที่เสียงร้องของผมเต็มไปด้วยความโกรธและ
ความเจ็บปวด นั้นหมายถึงว่า(พ่อคิด) ตราบใดที่คนเราแสดงความโกรธออกมาได้และ
พยายามโยนความผิดของตัว(ของผม)ให้คนอื่น(พ่อแม่)ได้นั้น มันย่อมหมายถึงสภาพร่าง
กายที่ยังดีอยู่ สมองยังคงทำหน้าที่ได้ปกติ พ่อได้ยืนยันต่อแม่ว่าไม่ให้ไปหาหมอโดยที่ไม่
นัดในวันพรุ่งนี้ นั่นหมายถึงเจตนาของแม่ที่จะไปหาหมอในคืนนี้ดับลงไปตั้งแต่มันยังไม่ได้
เริ่มจุด แม่มีเหตุผลที่จะไปในคืนนี้ ก็แทบทั้งใบหูของผมนั้นกลายเป็นสีม่วงเข็ม และมันก็
บวมช้ำ ส่วนพ่อนั้นนอกจากจะง่วงแล้ว ยังยืนยันว่าผมไม่ได้เป็นอะไร

ผมยังคงร้องโวยวายต่อไปอีกพักหนึ่ง ในขณะที่พ่อก็ยังหลับ ๆ ตื่น ๆ ส่วนแม่ก็ยังคงร้องไห้
ฟูมฟาย พ่อทำหน้าที่ลุกไปชงนมอย่างเคย เพราะนมนั้นรักษาได้เกือบทุกโรค มันช่วยให้
ผมสงบได้ อ้าว บางทีความเจ็บอาจจะปนอยู่ในความหิวก็ได้ ผมลังเลอยู่พักหนึ่ง เพราะยัง
อยากร้องแสดงความโกรธอยู่ แต่ในที่สุดก็รับนมขวดนั้นมาดื่ม แล้วก็หลับต่อไป

(มีต่อ)

8/15/2006

เมื่อหมาโต

 

 

   เมื่อผมเริ่มโตขึ้น โลกที่เคยกว้างของผมก็
  เริ่มแคบลง   อาณาจักรที่เคยกว้างก็แคบลง
  ไปถนัดตา โลกที่เคยถูกจำกัดด้วยความสูง
  ก็ไม่มีเหลือให้เห็น ที่ไม่เคยเห็นก็ใช้เก้าอี้ต่อ
  ขึ้นไปได้ 
เมื่อผมเริ่มวิ่งได้ ผมก็ต้องการ
  สำรวจทุกหนทุกแห่ง และไม่เคยต้องให้พ่อ
  กับแม่เดินนำหน้า ผมมีความจำเป็นเลิศไป
  ไหมมาไหนเองถูก ถึงแม้จะไม่ได้ไปบ่อย ๆ
  ไม่ว่าจะทางเดินไปจ่ายกับข้าว ทางเดินไปที่
  ทำงานพ่อ ทางเดินไปหาย่าเยอรมัน ผมจำ
  ได้หมด 
ทุกวันนี้ผมเริ่มซนมาก ๆ บางทีแม่
  ก็ไม่ค่อยอยากจะอยู่กับผมตลอดเวลา มีบ่อย
ครั้งที่แม่ต้องการให้ผมหลับนาน ๆ อย่างน้อย ๆ ก็ซักหนึ่งชั่วโมง เพื่อแม่จะได้มีเวลาทำอะไร
ต่ออะไรบ้าง   

ถึงแม้จะซนมาก แต่ผมก็มีบางอย่างที่ทำไม่ได้เหมือนเด็กทั่วไป ในขณะที่เด็กทั่วไปก็ทำ
บางอย่างที่ผมทำไม่ได้ เพราะเรานั้นแตกต่างนั่นเอง พ่อและแม่เริ่มเป็นกังวลในสิ่งที่ผมไม่มี
เหมือนคนอื่น ๆ ซึ่งผมพอจะสรุปเป็นข้อ ๆ ได้อย่างเช่น

  1. ผมไม่ยอมนั่งกระโถน
  2. ผมไม่ยอมพูด
  3. ผมไม่ยอมแปรงฟัน

สามสิ่งที่พูดไปนั้นเป็นสิ่งที่ปวดเศียรเวียนเกล้ามากที่สุดของแม่ อย่างแรกในเมื่อผมไม่ยอม
นั่งกระโถน พ่อและแม่ก็ต้องเสียเงินไปกับผ้าอ้อมสำเร็จรูปซึ่งราคาก็ไม่ใช่ถูกทุก ๆ ครั้งที่มัน
ลดราคา ก็ต้องไปซื้อตุนไว้เป็นกอบเป็นกำ อย่างที่สองในเมื่อผมไม่ยอมพูดแม้อายุจะเข้าใกล้
เลขสองแล้ว มันอาจจะมีสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับร่างกายผม เช่น ผมอาจจะหูไม่ดี เป็นต้น
พ่อแม่ก็ต้องพร่ำสอน หรือพูดกับผมบ่อยมากขึ้น ในขณะที่ตามตำราบอกให้หัดให้ผมพูดแค่
ภาษาเดียว ทุก ๆ เช้าผมก็จะได้ดูวีซีดี สอนนับเลขเป็นภาษาไทย สลับกันอยู่สองอัน ถึงแม้
จะฟังจนผมจะหายใจเข้าเป็นพี่ก็องกี้ ตดเป็น brain based learning อยู่แล้ว แต่ผมก็ยังชอบ
ฟังอยู่ ทุก ๆ ครั้งที่มีทำนองเพลงขึ้นมา ผมก็ต้องวิ่งไปดูทุกที อีกไม่นานผมก็คงจะเปิดเองได้
แล้ว

ส่วนปัญหาที่สามนั้น หนักหนาเอาการ เพราะนับวันผมก็เริ่มกินสิ่งแปลกปลอมนอกจากนมมาก
ขึ้น ถ้าผมไม่แปรงฟันหนูมันก็จะไปทำรังในปากหมา ทีนี้ถ้าเผื่อมันขี้ออกมา แม่ก็จะไม่ชอบผม
อีก ทุก ๆ กลางคืนพ่อก็จะคอยสอนให้ผมแปรงฟัน แค่สอนนะจับมือแปรงไม่ได้นะ ผมไม่ยอม อย่างน้อย ๆ ทุกวันนี้ผมก็บ้วนปากเองได้แล้วหล่ะน่า

น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีสำหรับพ่อแม่เท่าไหร่ โดยเฉพาะเวลาที่ผมกลัว คนที่จะ
ปลอบผมได้ก็มีแต่แม่เท่านั้น ผมไม่เอาคนอื่นหรอกแม้แต่พ่อ นี่เป็นสิ่งที่แม่ไม่ค่อยจะชอบเท่า
ไหร่ เพราะผมหนักและถ้าแม่ต้องอุ้มผมนาน ๆ แม่ก็ต้องปวดแขนไปหลายวันทีเดียว

ด้วยความซนของผมนี่เอง ทุกวันนี้พ่อแม่ก็เฝ้ารอวันที่ผมจะได้เข้าโรงเรียนเยอรมัน

6/25/2006

เมื่อหมาก็บ้าบอลโลกกับเค้าด้วย

เสื้อกางเกง 40 ยูโร
รองเท้า 40 ยูโร
นายแบบ หมาอ้วน
ตากล้อง พ่อหมาอ้วน
สปอนเซอร์ Kinder Geld



technorati tags:

6/06/2006

เมื่อหมาท้องเสียมาก

ในบรรดาอาการเจ็บป่วยของผมในวัยหนึ่งขวบต้น ๆ นั้น ที่หนักที่สุดเห็นจะเป็นอาการจากเจ้าไวรัส
โรตา ไวรัสที่แพร่พันธุ์ได้รวดเร็วเมื่ออากาศเย็น ช่วงก่อนที่เราจะเดินทางกลับเมืองไทยเป็นช่วงที่
เรียกได้ว่าสาหัสที่สุดสำหรับเราสามพ่อแม่ลูก

ผลของการนัดกันหยุดงานของพนักงานเก็นขยะในเมืองฮาบวร์กนั้น ทำให้มองไปทางไหนทิศไหน
ก็เจอกองภูเขาขยะ ยิ่งกองไหนมีขยะเต็มอยู่แล้วผู้คนก็ดูเหมือนว่าที่นั่นเป็นที่ ๆ ดีที่จะนำขยะไปทิ้ง
ปัญหาขยะนั้นไม่ได้จบแค่ความไม่น่ามอง แต่ส่งผลให้ความสกปรกและเชื้อโรคแพร่กระจายไปได้
มากว่าที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะมองไปทางทิศใดก็พบแต่ผู้ป่วย นั้นไม่เว้นแม้แต่ผม

แม่ยื่นมันฝรั่งทอดให้ผมกัดเล่น ผมก็รับมันมากินเล่นเหมือนอย่างเคย เมื่อชิ้นที่สามผ่านลำคอลง
ไป เหตุการณ์ไม่คาดฝัน (เพราะยังอ่านหนังสือไม่ถึงบทนี้) ก็บังเกิดขึ้น อาหารเช้าคาวหวานทั้ง
หมดทั้งปวงได้นัดกันผละจากรังอันเป็นที่อยู่ พากันพุ่งออกมาทางปากเล็ก ๆ ของผม ด้วยความ
ไม่เคยและใหม่ต่อเหตุการณ์อันน่ากลัวนี้ ผมก็ปล่อยโฮออกมา ด้วยความที่เป็นพ่อที่เจนจัดทาง
ด้านจิตวิทยา พ่อก็รีบผละจากการเช็ดพวกอาหารไม่รักบ้านเหล่านั้น มาที่ผมแล้วรีบปลอบใจผมว่า
ผมไม่ได้ทำอะไรผิด นี่เป็นอาการป่วย แต่คำพูดปลอบใจนั้นใช่ว่าจะทำให้จิตใจอันอ่อนไหวยาม
ที่ร่างการอ่อนแอนั้นกลับมาแข็งแกร่งได้ ผมยังคงปล่อยน้ำตาอุ่น ๆ ให้ไหลอาบแก้มอยู่ตลอดเวลา

ผมยังคงมีอาการอาเจียนอย่างนี้อีกสองสามครั้ง เริ่มแรกพ่อกับแม่คิดว่าสาเหตุอาจจะเนื่องมา
จากมันฝรั่งทอด เพราะกินครั้งที่สองก็เป็นอีก แต่แล้วเราก็รู้ว่าอาการที่เป็นอยู่นั้นไม่ใช่อาเจียนแต่
เป็นผลเนื่องมาจากไวรัสโรตาไปทำลายระบบย่อยอาหาร ผลพวงต่อมาก็คือผมท้องเสียอย่างรุนแรง
ไม่ว่าจะกินอะไรก็ถ่ายมาหมด ถ่ายวันละห้าถึงหกครั้ง จากสภาพหมาอ้วนเวลาผ่านไปสามวันผม
ก็กลายเป็นหมาบักโกรก ในครั้งนี้เริ่มแรกไม่แย่เท่าไหร่เราไปหาหมอ พ่อแม่รู้ว่าผมควรจะกินอะไร
ไม่ว่าจะเป็น Heinahrung ข้าวต้มผสมเกลือ หรือน้ำเกลือแร่รสชาติไม่ได้เรื่อง เวลาผ่านไปหนึ่ง
อาทิตย์ผมก็ยังไม่หาย ยังคงถ่ายขั้นต่ำวันหละสามครั้ง

อาทิตย์แรกผ่านไปอย่างไม่มีอะไรน่าห่วงนัก ทุกอย่างเดิม ๆ อึแล้วก็เช็ด กินแล้วก็อึ อาหารแทบ
ไม่ได้ย่อย น้ำหนักยังคงลดอย่างต่อเนื่อง ไปหาหมอ หมอก็บอกว่าเดี๋ยวก็หายเองตามมาตรฐาน
ของหมอเยอรมันคือ การไปหาเืพื่อให้ได้ยาฟรี กล่าวคือถ้าซื้อเองก็ได้ยาแบบเดียวกันแต่ต้องเสีย
เงิน ดังนั้นการเสียเวลาไปนั่งรอหมอทั้ง ๆ ที่นัดไว้แล้วอีกประมาณชั่วโมง แต่ไม่ต้องเสียค่ายาเอง
ก็ยังสรุปได้ว่าดีกว่า เมื่อเริ่มต้นวันแรกของอาทิตย์ที่สอง ผมเริ่มได้ยินแม่พูดว่า"แม่ไม่ไหวแล้วนะ"
เป็นครั้งแรกที่สภาพแม่เริ่มแสดงให้เห็นว่าแย่กว่าผม ในขณะที่พ่อยังต้องไปทำงานวิจัยทุกวัน แม่
เองก็แทบไม่ได้พักผ่อน ผมก็ยังคงอึรดที่นอนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเป็นบางวัน ในยามที่คนอื่นนอน
หลับไหล พ่อกับแม่ยังคงต้องสลับกันลุกไปเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ผม

คุณคงไม่รู้ว่า ผมเป็นหนักมากแค่ไหน แต่แม่และพ่อสัมผัสได้เพราะยามใดที่ผมพยายามทำสิ่ง
ที่เคยทำได้ ผมทำไม่ได้แล้วแม้กระทั้งลุกขึ้นยืนเอง ถึงตอนนี้พ่ออนุมัติให้ผมกินยาหยุดถ่ายซึ่ง
เราซื้อเตรียมไว้แล้ว (ถามเภสัช) และผมก็ถูกบังคับให้กินบ่อยที่สุดเท่าที่จะบังคับผมได้ อาการ
ของผมนั้นดีวันดีคืน สภาพอึเิริ่มแสดงให้เห็นว่ามีการย่อยสลายบ้างแล้ว และจากห้าหกก็ลดลง
เหลือสาม นั้นคือผมคงพร้อมที่จะบินกลับเมืองไทยแล้วหล่ะ

เมื่อผมอาการดีขึ้น พ่อกับแม่ก็ได้ข้อสรุปว่า

ท้องเสียดีกว่าอาเจียนเนาะ

2/24/2006

เมื่อหมาซ่าไม่ออก ตอนที่ 2

สองสามคืนมาแล้ว ที่พ่อและแม่ไม่ได้นอนเต็มตา อาการเจ็บป่วยของหมาน้อยมักจะ
กำเริบหลังเที่ยงคืนไปแล้ว

มันช่างแย่เสียเหลือเกิน สำหรับการเดินไปหาหมอในหุบเขาคนฮา(harburg)แ่ห่งนี้ ทางเดียว
ที่จะกระทำได้คือต้องเดินไป ไปแล้วก็ต้องไปรอแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าชั่วโมงถึงแม้จะนัด
ล่วงหน้า คุณหมอสาวสวยตรวจผมอย่างละเอียดแต่ไม่ได้พบอะไรที่สาหัส พ่อค่อนข้าง ดีใจที่ผมไม่เป็นอะไรหมอก็ไม่ได้ให้ยาอะไรเป็นพิเศษ อ้าวงี้ก็ซ่าต่อได้แล้วดิ

แต่แทนที่ไปหาหมอแล้วอาการผมจะดีขึ้น เปล่าเลยผมกลับแย่ลง ผมเริ่มเจ็บคอ ไอ แล้ว
ตามด้วยมีน้ำมูก ด้วยความที่เป็นวันเสาร์พวกเราทำอะไรมากไม่ได้นอกจากจะไปร้าน
ขายยาแล้วขอซื้อยาแก้ไอสำหรับเด็ก รวมไปถึงยาลดไข้สำหรับเหน็บก้น ที่เมื่อเหน็บที
ไรผมก็จะดีขึ้นทันตาเห็น ไม่รู้เพราะฤทธิ์ยาหรือว่าผมหวงก้น หลังจากที่ผมมีอาการไอ ทุกอย่างก็ดูแย่ไปหมด พ่อแม่สงสารผมอย่างไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร มีอยู่คืนหนึ่งแม่ถึง
กลับเก็บอาการไม่อยู่ปล่อยโฮออกมา ก็มันเป็นวันอาทิตย์ ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะคอย
วันจันทร์ ภาพของความเป็นอยู่ที่แสนจะสุขสบายที่เมืองไทยได้กลับเข้ามาวนเวียนอยู่
ในหัวของแม่อีกครั้ง ในขณะที่พ่อพูดไม่ออก แม่บ่นอย่างเจ็บช้ำน้ำใจว่า ถ้าอยู่ที่เมืองไทย จะไปหาหมอเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นี่ต้องนั่งรอทำอะไรก็ไม่ได้ ว่าแล้วน้ำตาของผู้เป็นแม่ก็หยด
ลงมาที่แก้มผม ผมนั้นทั้งสงสารแม่แต่พูดไม่ออก ก็เพราะยังพูดไม่ได้นี่นา แทนที่จะ
ทำอะไรให้แม่สบายใจได้บ้าง ผมกลับทำไม่ได้ อาการเจ็บจี๊ด ๆ นะ เจ็บจี๊ด ๆ ก็เกิดขึ้น
อีก ผมได้แต่นอนบิดตัวไปมา ในขณะที่พ่อเริ่มสงสารแม่และตาก็เริ่มแดง ซึ่งอาจจะเป็น
เพราะพิษไข้ก็ได้ พ่อติดหวัดจากผมไปแล้วและก็เริ่มเจ็บคอเป็นอย่างแรก

อาการเจ็บป่วยของผมนั้นหนักขึ้นกว่าเมื่อสองสามวันก่อนมาก พ่อเองก็เป็นหนักมาก
เหมือนกัน ในขณะที่แม่เป็นด้วยแต่เล็กน้อยเท่านั้น บทหนักจึงไปตกที่แม่ในฐานะที่ต้อง
ดูแลผม และพ่อก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก ถึงแม้ป่วยพ่อยังคุยติดตลกขณะที่เช็ด
น้ำมูกสีเขียวปี๋ที่จมูกผมว่า "หมาอ้วนมีมีทายาทอสูรแล้ว เดี๋ยวก็หาย" คำพูดถึงแม้จะ
ช่วยให้ตลกได้ แต่มันรักษาโรคไม่ได้ พ่อและแม่ยังต้องอดนอนต่อไปอีก เพื่อดูแลผม
ในตอนดึก ๆ คำพูดของอาต้อมผู้ดูแลนักเรียนไทยในเยอรมันยังคงก้องอยู่ในหูของพวก
เรา

นับไปเถอะค่ะ อีำกห้าสิบครั้ง จนถึงสามขวบนั่นแหละ
จำนวนคือจำนวนการเจ็บป่วย และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พ่อกับแม่ได้รับรู้ว่า เมื่อหมาซ่า
ไม่ออกนั้นมันหนักหนาแค่ไหน ผมซ่าไม่ออกแม้จะออกไปข้างนอกเจอสาว ๆ สวย ๆ
ที่ปกติผมจะต้องร้องจีบคนโน้นทีคนนี้ที แต่นี่ทำได้แค่เพียงนอนอมยิ้ม

ผมยังไออยู่ ยาแก้ไอที่โฆษณานักหนาว่าดีอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย
เราโทรติดต่อหาป้าจูนเรื่องนี้ ยายหมอสั่งให้ไปเอาใบสั่งยาที่บ้าน เพื่อไปเช่าเครื่องพ่น
น้ำเกลือ แล้ววันอังคารต่อมาเราก็พากันไปหาคุณยายหมออีกที เธอตรวจแล้วก็
สั่งยาให้เราไปซื้อ ไม่วายที่จะตำหนิเราว่าก่อนให้ยาลดไข้ต้องวัดอุณหภูมิด้วยนะ
39 องศาน่ะ ถึงจะให้ยาลดไข้ได้ เอาเป็นว่านอกจากเราจะซื้อยาแล้วยังต้องไปซื้อ
เทอร์โมมิเตอร์มาวัดไข้อีก พ่อมารู้ทีหลังว่าคุณยายหมอตำหนิ แล้วก็บ่น ๆ ว่าตำรา
ไทยบอกว่าไม่ต้องซื้อ จับตัวดูก็รู้แล้วว่าไข้ขึ้นสูง ตำราเยอรมันบอกว่าต้องวัดเปะ ๆ
ไม่งั้นห้ามให้ยา นี่มันสะท้อนถึงลักษณะของสังคมไทยและเยอรมันที่แตกต่างด้วย
นะเนี่ย อ้าวทำเป็นเล่นไปให้น้ำเกลือที่นี่ต้องมีเครื่องวัดอัตราการไหลควบคุมด้วยนะ

จะด้วยความหล่อ ซ่า หรือว่ายาของคุณยายหมอดี หรือไม่ก็ทายาทอสูรออกฤทธิ์
ก็ไม่ทราบได้ หลังจากกินยางวดแรกแล้ว อาการไอกับเจ็บคอของผมก็ดีขึ้น หลาย
วันหลังจากนั้นน้ำมูกก็เปลี่ยนเป็นสีใส แล้วผมก็หายไข้ในที่สุด

2/09/2006

เมื่อหมาซ่าไม่ออก ตอนที่ 1

ความซ่าของคนเราย่อมต้องมีขีดจำกัด ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งหมาน่ารักอย่างผม(อย่าสับสนกับ
เสื้อผ้านะครับ) ผมถูกตั้งฉายาว่า "ซ่าเหมือนแม่ กวนตีนเหมือนพ่อ" โดยสาวโก๊ะอันดับหนึ่งแห่ง
ฮัมบวร์ก ความซ่าของผมไม่เคยหยุดแม้กระทั่งยามเจ็บไข้ ไม่ว่าท้องเสีย เป็นหวัด หรือติดเชื้อ
ไวรัส เชื้อแบคทีเรีย ผมไม่เคยเลยที่จะแสดงอาการของผู้ป่วยให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

แต่ความเจ็บป่วยก็ไม่เคยละเว้นใคร วันนั้นผมยังจำได้แม่นในคืนอันแสนหนาวและเงียบสงบ
มีเพียงหมาอ้วนตัวน้อยตัวเดียวเท่านั้นที่ยังหลับไม่ลง ความร้อนในร่างกายมันสูงเกินกว่าที่ผม
จะข่มตาลงได้ ผมเริ่มครางหงิง ๆ เป็นแม่อีกตามเคยที่เริ่มรับรู้ความผิดสังเกตนี้ได้ แม่ดูจะตื่น
ตระหนกอย่างมาก พ่อที่ถูกปลุกให้ตื่นอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก กับการที่จะให้มารับรู้เรื่องราว
ของความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติบนหน้าผากผม ตรงนี้ผมกับแม่ก็เข้าใจพ่อ เพราะว่า
โดยปกติแล้ว ผมจะเป็นเด็กขี้ร้อน (หมอเขียนในหนังสือว่าเป็นเรื่องปกติของเด็ก ๆ) ร้อนขนาด
ที่ว่า พ่อมักใช้ผมผิดวัตถุประสงค์เสมอ ๆ บางครั้งหน้ามืดตามัวเห็นผมเป็นถุงน้ำร้อนไปได้
ด้วยเหตุนี้กระมัง พ่อจึงมักจะมองว่าความร้อนระดับนี้เป็นเรื่องปกติ

แม่พยายามพิสูจน์ต่าง ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา ให้พ่อเชื่อ ในที่สุดจะด้วยเหตุผลว่าพ่อง่วง
หรืออะไรก็สุดแท้ พ่อก็ยอมรับว่าผมตัวร้อนจริง ๆ ผมเริ่มดิ้นทุรนทุรายเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้แม่
เมื่อพ่อเชื่อว่าเป็นจริง พ่อก็มักจะกระทำวิธีการต่าง ๆ นานา โดยไม่ค่อยบอกเหตุผล หรือ
อธิบาย ซึ่งต่างกับแม่ที่ต้องการคำอธิบายก่อนลงมือทำ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน พ่อเหน็บยาลดไข้
ให้ผม (แน่นอนที่ตูด) แล้วก็ลงมือถอดเสื้อผ้าผมออกทีละชิ้น จนเหลือแต่เพียงชุดแนบเนื้อสุด
เซ็กซี่ เอาผ้าเช็ดตูดผมมาเปลี่ยนหน้าที่เป็นผ้าเช็ดหน้า (ข้างซองบอกว่าทำได้นะ) เพื่อลด
อุณหภูมิภายนอกของร่างกายผม ในขณะที่ผมยังครางหงิง ๆ ออเซาะอยู่

ถึงแม้จะนอนเตียงเดียวกัน แต่อาการหวาดกลัวของคนสามคนนั้นดูจะแตกต่างกันออกไป
พ่อกลัวว่าผมจะเป็น พาราไทฟอยด์ เหมือนที่พ่อเคยเป็น ซึ่งอาการที่เห็นได้คือตอนกลางวัน
ปกติ แต่ตอนกลางคืนไข้จะขึ้นสูงมาก ๆ ในขณะที่แม่กลัวผมจะชัก ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ แล้ว
ถ้าถามว่าเจ้าหมาน้อยอย่างผมนั้นกลัวอะไร สิ่งที่ผมหวาดกลัวที่สุดก็คือ กลัวซ่าไม่ออกน่ะสิ

เมื่อความกลัวแตกต่างกันออกไป การแสดงออกก็แตกต่างกันออกไปด้วย ผมครางหงิง ๆ
ในขณะที่พ่อแสดงความเป็นผู้นำของบ้าน ลุกขึ้นนั่งถางตาดูว่าเมื่อไหร่ผมจะหลับลง ในขณะ
ที่แม่ต้องการคำปลอบโยน มันช่างเป็นความโหดร้ายของวิถีชีวิตในเยอรมันแท้ ๆ ที่วันอาทิตย์
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของคนเยอรมันจะปิดหมด คนเยอรมันที่จะมี
ชีวิตรอดก็อาจจะต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นคนตุรกีบ้างบางครั้ง นี่รวมไปถึงร้านขายยา เราไม่มียา
อื่น ๆ เลยนอกจากยาลดไข้สำหรับเหน็บก้นผม แล้วมันก็ใกล้จะหมดแล้วด้วย

ย่าหมอ ได้เชิญเราไปเที่ยวบ้านเนื่องในโอกาสอยากรื้อต้นคริตส์มาสเต็มแก่ แต่แขกสำคัญ
อย่างผมยังไม่ได้ยลโฉมมันเลย เราก็ถือโอกาสนี้ไปให้ย่าหมอตรวจซะเลย แล้วจะได้ขอ
ยาลดไข้ไว้สำรองด้วย พอวันจันทร์ครอบครัวเราก็จะไปหาหมอได้แล้ว เมื่อไปหาย่าหมอ
ความซ่าได้เอาชนะความเจ็บป่วยไปจนหมด ผมวิ่งทั่วบ้าน เล่นทุกอย่างที่เล่นได้ จะเวลาค่ำ
เข้ามาเยือน หมาก็เริ่มครางหงิง ๆ ย่าหมอจะผมไปตรวจวัดไข้ โดยการเอาเทอร์โมมิเตอร์
ไปจิ้มตูด ย่าส่งมันกลับมาให้พ่อดู พ่อสังเกตอยู่พักหนึ่งแล้วก็เอามันจิ้มเข้าปาก บ้าเหรอ
ไม่ได้จิ้ม จากนั้นย่าก็เอายาลดไข้มาเหน็บก้นผม แล้วก็ให้คำอธิบายว่าอาการนี้เป็นอาการของ
ไวรัสชนิดหนึ่ง ปล่อยไว้ซักพักก็หายไปเอง ถ้าไม่แน่ใจก็ไปหาหมอ อ้าวแล้วหมอที่อยู่ตรง
หน้านี่หล่ะ พ่อทำหน้างง ๆ ในขณะที่ย่าอธิบายต่อว่า ตอนนี้ตรวจให้ไม่ได้ เพราะไม่มี
เครื่องมือ ต้องเจาะเลือดพิสูจน์โลหิต ถึงจะบอกได้ว่าเป็นอะไรแน่ เอาเป็นว่าทุกอย่างผ่าน
ไปด้วยดีผมยังซ่าได้ แต่ในท้องฟ้าที่เงียบสงบ มันมักจะแฝงความนัยร้าย ๆ เอาไว้เสมอ

1/17/2006

เมื่อหมาอ้วนตกเตียง



ในชีวิตของลูกหมาตัวเล็ก ๆ หนึ่งตัว คงต้องมีอย่างน้อยซักครั้งที่ต้องเจ็บจนน้ำตาไหล
ลูกหมาน่ารัก ๆ อย่างผม ก็ไม่อาจละเว้นชะตากรรมอันน่ารันทดนี้ไปได้ เมื่อนึกถึงทีไร
น้ำตามันก็ไหลเอ่อท่วมเบ้าตาไปซะทุกครั้ง

ขณะที่ผมกำลังนอนหลับฝันหวานท่ามกลางวงมโหรีวงใหญ่อยู่นั้น ผมก็เริ่มรู้สึกว่าพื้น
อุ่นๆ เบื้องล่างกำลังหายไป ร่างกายอันน่าทะนุถนอมของผมพุ่งร่วงลงจากเตียงอันนุ่ม
สบายลงไปสู่พื้นพรมอันแข็งกระด้างในเวลาชั่วหนึ่งอึดใจ แรงกระทำตามกฎของ
นิวตันทำให้ผมเจ็บจนน้ำตาไหล ความเป็นลูกผู้ชายหมดลงตรงนั้น ผมร้องไห้จ้า เกือบ
จะทันที โดยไม่รั้งรอให้เฮือกการร้องที่สองของผมดังขึ้นหรือพูดง่าย ๆ ว่าเร็วกว่า
เกียร์บันแปลงร่าง แม่ก็โผเข้ามากอดผมแล้วดึงผมขึ้นไปสู่อ้อมอกอันอบอุ่น นุ่มละไม ผมร้องไห้สะอึกสะอื้นในอ้อมอกแม่ มันไม่ใช่ความฝันแต่มันเป็นความจริงที่พ่อผงก
หัวตื่นขึ้นมาในขณะที่ผมเริ่มสงบแล้ว คงเป็นเพราะพ่อได้ยินเสียงแม่ร้องไห้ พอพ่อ
เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ก็ล้มตัวลงนอนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่
แม่บอกผมว่าเตียงมันก็กว้างอยู่นะลูก

นี่เป็นหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นาน ในขณะที่ผมอายุได้ประมาณ 14 เดือน มันไม่ใช่
ครั้งแรก ผมจำได้ว่าครั้งแรกๆ มันเกิดเมื่อผมอายุได้ประมาณเกือบ 5 เดือน มันเป็น
ช่วงที่ผมเริ่มพลิกตัวไปมาได้ ผมพลิกเพลินไปหน่อยก็หลุดตกเตียงไป ถ้านึกไม่ออก
ว่ามันน่ากลัวขนาดไหน ก็ให้ลองจินตนาการดูว่า เด็กประมาณหนึ่งอ้อมกอด ตกจาก
ที่สูงฟุตครึ่งจากเตียงนุ่มๆ ลงมาสู่พื้นพรหมแข็ง ครับมันเจ็บและเป็นเจ็บที่ลูกหมา
ทุกตัวที่ควรจะผ่าน ใครที่ไม่เคยผ่านเมื่อโตขึ้นอาจจะโดนเพื่อน ๆ ล้อได้

ถ้าจะนับว่าระหว่างพ่อกับแม่ ใครทำให้ผมตกเตียงมากกว่ากัน คุณๆ อาจจะตอบว่า
ต้องแม่แน่ๆ เลย เพราะผมควรจะอยู่กับแม่มากกว่าพ่อ นั่นทำให้คุณได้คะแนนศูนย์
แล้วหล่ะ เพราะถึงแม้ว่าผมจะอยู่กับพ่อด้วยเวลาเพียงหนึ่งในสามของแม่ แต่พ่อก็ ทำให้ผมตกเตียงได้มากพอ ๆ กับแม่หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ก็เพราะเวลาพ่อดู
แลผม ก็ดูแต่ตา และค่อนข้างปล่อยให้ผมทำโน่นทำนี่ไปเรื่อย ยิ่งเมื่อผมอยู่บนเตียง
ด้วยแล้ว พ่อก็มักจะใช้หลังดูแลผม หรือไม่บางทีก็หลับตาดู เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยไป
มีอยู่ครั้งหนึ่งกลางดึก ซึ่งโดยปกติแล้วพ่อจะต้องมีหน้าที่ไปชงนม เหตุผลของพ่อ
คือพ่อเสียสละ แต่ความจริงแล้วพ่อมักจะหลับก่อนแม่ชงนมเสร็จ ครั้งนี้พ่อต่อรอง
ให้แม่ไปชงนมแล้วพ่อจะดูลูก ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียงน้อยนิดพ่อก็หลับได้ราวกับ
โนปิตะกลับชาติมาเกิดไงงั้นเลย ผลที่ได้ก็คือผมตกเตียง แล้วพ่อก็ต้องโดนแม่ดุ
ไปตามระเบียบ แต่ยังไม่ทันที่แม่จะได้ดุอะไรมาก พ่อก็ชิงหลับไปซะแล้ว

เมื่อเล็ก ๆ กรณีตกเตียงของหมาอ้วนอย่างผมนั้น เกือบทั้งหมดเกิดจากการประเมิน
ความสามารถและความไวของผมต่ำกว่าที่ควรจะเป็น การวางผมไว้อีกมุมหนึ่งของ
เตียง แล้วเดินออกไปเข้าห้องน้ำนั้น เป็นการประเมินต่ำอย่างมาก เพราะช่วงเวลา
แค่เพียงหนึ่งนาทีที่พ่อเดินออกไป ผมก็สามารถพลิกไปอีกด้านหนึ่งของเตียงได้แล้ว

เมื่อโตขึ้นมาหน่อย ผมก็คงเหมือนกับเด็กทั่วไปคือ ต้องคิดได้แล้วหล่ะว่าทำไมถึง
ตกเตียง ก็แน่หล่ะตกเตียงมันเจ็บ ใครหล่ะอยากจะเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมไ่ม่ใช่หมา
โง่นี่นา ถึงจะยอมเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมเริ่มทำการวิเคราะห์และคำนวณท่วงท่าที่
เหมาะสม กว่าจะเสร็จก็ต้องลำบากแม่คอยพยุงอยู่หลายครั้ง และในที่สุดผมก็พบ
ว่าการลงจากเตียงที่ถูกวิธีนั้น เมื่อเราอยู่ห่างจากของเตียงประมาณหนึ่งฟุตหรือ
มากกว่า ขึ้นอยู่กับความยาวของร่างกาย เราจะอยู่ในโซนตกเตียงแล้วให้เราพลิก
ตัวร้อยแปดสิบองศา แล้วค่อย ๆ คลานถอยหลังลงจากเตียงไป โดยค่อย ๆ ทิ้ง
น้ำหนักลงบนเท้าทั้งสองนั่นแหละ แต่ชีวิตมักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ถึงแม้ว่า
ท่าคลานถอยหลังลงเตียงสะท้านโลกจะได้รับการฝึกหัดเป็นอย่างดี แต่ในเมื่อมี
กระบวนท่า มันย่อมต้องมีจุดอ่อน บ่อยครั้งที่ผมชะล่าใจเกินเหตุ ใช้ความเร็วคงที่
ตั้งต้นโดยลืมนึกถึงกฎข้อที่สามของนิวตันไป ทำให้ผมพลิกตัวไม่ทัน แทนที่จะ
หมุนได้ร้อยแปดสิบ ก็หมุนได้แค่ร้อยยี่สิบเท่านั้น แน่หละครับจากหมุนตัวลงเตียง
ก็กลายเป็นไถลลงเตียง สะโพกลงก่อนแล้วก็ตามด้วยหัว นี่ยังไม่พอนะครับ สมัย
ที่ผมยังสั้นเกินไป เมื่อลงจากเตียงแล้วขาจะแตะพื้นไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่ เมื่อ
ปล่อยมือเพื่อจะเข้าสู่ท่าคลานดุ๊ก ๆ อันเลื่องชื่อของหมาอ้วน มันมักจะไม่ค่อยได้
ผล คราวนี้เป็นไหล่ หลัง และหัวตามลำดับ

ทุกวันนี้ ถ้าไม่ง่วงงัวเงีย หรือหิวนมจนหน้ามืด ผมก็จะไม่ตกเตียงอีกแล้ว ผม
สามารถขึ้นเตียงและลงเองได้แล้วอย่างสบาย ทุกครั้งที่ผมจะขึ้นเตียงเอง พ่อ
มักจะถามแม่ว่า "หมาอะไรขึ้นเตียงได้" แม่ก็ตอบทันทีว่า "หมาพยายาม"