11/30/2004

กว่าหัวจะถึงตูด ก็แทบจะทนไม่ไหว


หลังจากที่พ่อแนะนำแม่ว่าแทนที่จะไปเดินเล่น ไปกินไก่ KFC กับพ่อดีกว่า แม่ก็ตกลงทันทีโดยที่พ่อไม่
ได้คิดเลยว่า พ่อจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่หน้าร้าน KFC ร้านนี้อีกเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ร้าน KFC ที่นี้ก็คง
เหมือนกันร้านขายไก่ทอดทั่วไปในยุโรป คือไม่มีมีดหรือช้อนส้อมใดๆ ทั้งสิ้น ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือที่นี่
ไม่มีกระดาษชุปแอลกอฮอล์เช็ดมือให้ เรื่องซ๊อสมะเขือไม่ว่าจะมะเขือไทยหรือมะเขือเทศต้องจ่ายเงิน
เพิ่มทั้งนั้น แม่บ่นและนึกถึงเมืองไทยขึ้นมาทันที วันนี้เป็นครั้งแรกที่แผ่นดินเยอรมันที่เราได้นั่งกินไก่ทอด
ในร้าน ซึ่งหาไม่ได้ง่ายนัก ปกติถ้านักเรียนไทยมีอันต้องผ่านมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้หล่ะก็ สิ่งที่ต้องทำก็
คือแวะกินไก่ที่ร้านนี้ ความโชคดีก็คือวันนี้เป็นวันพฤหัสบดี ไม่ใช่ว่าไม่ต้องสระผม แต่เป็นเพราะวันนี้เป็น
วันไก่ทอด เราสามารถซื้อไก่ทอดหกชิ้นได้ในราคาไม่แพง นอกจากนี้ที่ร้านนี้ยังใช้ระบบน้ำแก้วเดียวเติม
กี่ครั้งก็ได้ เราก็เลยใช้วิธีซื้อแก้วเดียวกินสามคนซะเลย (สายสะดือยังไม่หลุดแม่กินอะไรผมก็ได้ด้วย อิ อิ)

แม่ทนกินไก่ได้แค่สองชิ้น ในขณะที่พ่อสี่ชิ้นก็แค่ตึงๆ พ่อรีบกินเพราะไม่ต้องการให้แม่รอ เพาะสภาพของ
แม่ตอนนี้ก็คือพลิกแล้วพลิกอีก แต่ไม่ว่าจะพลิกท่าไหน มันก็ยังปวดอยู่ดี อาการปวดก็ดูเหมือนจะถี่ขึ้นและ
มากขึ้น เมื่อจัดการเก็บถาดและขยะไปเข้าชั้นเรียบร้อย (พ่อไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเก็บของเข้าชั้นของร้าน
อาหารพวกนี้เท่าไหร่ เพราะนอกจากต้องบริการตัวเองแล้ว ราคาอาหารก็ยังแพงกว่าปกติอีกด้วย) ภาพที่น่า
ประทับใจสำหรับคนทั่วไปก็คือ ชาวไทยตัวเล็กๆ สองคนพร้อมทั้งลูกในท้องที่กำลังจะคลอด คนหนึ่งเดิน
ด้วยสีหน้าแสดงอาการเจ็บปวด ในขณะที่ชายไทยรูปหล่อคอยประคองอยู่มิได้ห่าง ระยะทางขึ้นเขาเพียงแค่
สองร้อยเมตรนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับเราเลย

พ่อกับแม่มาถึงโรงพยาบาลก่อนเวลานัดประมาณ 15 นาที ในขณะที่ย่าเยอรมันนั่งจิบกาแฟอ่่านหนังสือพิมพ์
อยู่ พ่อบอกกับย่าว่าเดี๋ยวจะไปเดินเล่นที่สวนแล้วอีกสิบนาทีค่อยไปหาพยาบาลด้วยกัน จากนั้นแม่ก็เดินวนไป
วนมารอบสวนในขณะที่อุณหภูมิภายนอกอยู่แถวๆ เลขสิบ แน่นอนพ่อหนาว ในขณะที่่แม่ปวดมากกว่าหนาว
และคราวนี้ผมก็กวนแม่ทุกๆ 5 นาทีแล้ว พ่อจับเวลาให้แม่ด้วย เมื่อได้เวลาพ่อก็จะบอกให้แม่เตรียมตัวก่อนที่
ความเจ็บปวดจะมาเยือน

นางพยาบาลซึ่งมีประสบการณ์ทำคลอดมากว่า 25 ปี ได้แนะนำวิธีการหายใจ
เพื่อลดความเจ็บปวด และแนะนำให้แม่ยืน รวมทั้งบอกให้พ่อไปโอบแม่เมื่อความปวดเกิดขึ้น ทั้งนี้และทั้งนั้น
แม่จะต้องรออีกไม่น้อยกว่า 30 นาที คือต้องวัดการรัดตัวของมดลูกและต้องวัดหัวใจเกินร้อยของผมด้วย นั่น
หลังจากครบสามสิบนาทีแล้ว นางพยาบาลคนเดิมที่ใจดีและมีประสบการณ์ก็มาล้วงปากมดลูกแม่อีกครั้ง และ
ไม่ผิดแน่ก็คือคลอดวันนี้ในอีกไม่เกินสองชั่วโมง แต่แม่ยังต้องรอต่อไปเพราะอ่างน้ำยังไม่เสร็จ มีคนคลอด
ก่อนหน้าและต้องใช้เวลาทำความสะอาดอีกไม่น้อยกว่า 15 นาที ขณะที่รอนั้นมีเหตุการณ์ตื่นเต้นหลายอย่าง
เช่น หัวใจผมจากที่เคยเต้นเวลาตื่น 140-160 ครั้งต่อนาที กลับลดลงเหลือแค่ 80 ครั้ง หรือแม่เจ็บจนทนไม่
ไหว ไม่ว่าจะพลิกซ้ายพลิกขวา มีบ้างที่หงุดหงิดเวลาพ่อทำอะไรให้ไม่ทันใจ ก็พ่อดูงุ่มง่ามเหลือเกิน เรื่องหัว
ใจเต้นไม่มีปัญหา สาเหตุเป็นเพราะการวางตำแหน่งตัววัดผิดที่ ดันไปวัดของแม่ ส่วนเรื่องความปวดของแม่ก็
แก้ด้วยการเอาหินร้อนมาประคบบริเวณหลัง ก็ช่วยบรรเทาไปได้เยอะ

ความตรึงเครียดเริ่มเกิดขึ้นมาอีก แม่เยอรมันต้องกลับแล้ว เธอมีนัดกลับลูกสาวต้องไปรับแมว แต่เธอกำชับว่า
เธอสามารถมาได้ภายใน 15 นาที ขอให้โทรตาม พ่อรู้ชะตากรรมทันทีว่าเมื่อไม่มีคนชวนแม่คุย แม่ต้องเจ็บ
ปวดมากขึ้น และความไม่ได้เรื่องของพ่อย่อมต้องทำให้แม่หงุดหงิดและอาการปวดก็คงไม่ลดลง ช่วงที่รอก็ยัง
ดีที่มีเรื่องที่ทำให้แม่ลืมความเจ็บปวดไปได้บ้าง เช่นกระดาษของเครื่องวัดหมด หรือเรื่องที่แม่ถามพยาบาลว่า
ต้องสวนทวารหนักหรือไม่ คำตอบก็คือพยาบาลทำหน้างงๆ ว่าทำไมต้องด้วย อึมันก็เรื่องธรรมชาติอยู่แล้วนี่
ทำไมเหรอ แล้วก็ถามแม่ว่า เมื่อเช้าเธอไม่ได้เข้าห้องน้ำเหรอ หลังจากที่เธอไปแล้ว เราก็หันมามองหน้ากัน
เพราะแม่รู้มาว่าที่เมืองไทย ก่อนคลอดต้องมีการสวนทวารหนักเพื่อเอาอึออกจากตูดก่อน คงเพราะหมอไม่อยาก
เอาอึไปป้ายพยาบาลเ่ล่น นอกจากนั้นขนเพชรก็ต้องโกนออกด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติมากในการรักษาความ
สะอาด แต่ที่เยอรมันทุกอย่างต้องธรรมชาติครับผม

11/22/2004

อย่ามาอำผมนะ ผมรู้ทัน



ไม่นึกเลยคุณย่าเยอรมัน ที่อายุเลยห้าสิบห้าแล้ว ยังดูแข็งแรงและมั่นคงไม่แสดงอาการตกใจใดๆ ทั้งสิ้น
รถญี่ปุ่นคันใหญ่สี่ประตูสี่ที่นั่ง นำพาสามชีวิตไปหาชีวิตน้อยๆที่สี่อย่างรวดเร็ว แม่ที่เคยแสดงอาการเจ็บจน
ทนไม่ไหวหลายครั้ง เมื่อเจอหน้าคุณย่าแล้วแม่ก็รู้สึกเหมือนเจอแม่แท้ๆ ของตัวเอง ด้วยกำลังใจนี่เอง
ทำให้อาการเจ็บปวดที่เคยมีถี่ทุกๆ 7 นาที เริ่มบรรเทาเบาบางลง

คุณย่ามีลูกสาวอายุ 17 ปี เพียงคนเดียว แต่ดูเหมือนเธอมีประสบการณ์มากมาย และพร้อมที่จะให้คำแนะ
นำได้ทุกเวลา พ่อเองตอนนี้นอกจากภาษาเยอรมันที่ไม่รู้เอาซะเลย ภาษาอังกฤษที่งูๆ ปลาๆ อยู่แล้วก็ดู
เหมือนมันจะหายไปหมด ซึ่งนี่มันสร้างปัญหาอย่างมากเลย

แม่ถูกพาไปนั่งยังที่พักผู้ป่วย ในขณะที่พ่อเจรจาเรื่องประกันโดยที่ย่าเยอรมันไปหาที่จอดรถ พ่อมีความรู้
ภาษาเยอรมันน้อยมาก แต่มีความสามารถพิเศษในการสื่อสาร ถึงแม้พ่อจะฟังไม่รู้เรื่องว่าผู้พูดพูดอะไรแต่
พ่อก็เข้าใจบริบทมากกว่า 70 % พ่อสามารถยื่นเอกสารที่เจ้าหน้าที่ร้องขอ แล้วบอกให้เจ้าหน้าที่รอย่า
เพื่อให้การสื่อสารเข้าใจกันได้ครบถ้วน

ผ่านไปร่วม 20 นาที ทุกอย่างก็เรียบร้อย พ่อคุยกับเจ้าหน้าที่ไม่รู้เรื่อง คุณย่ายังไม่มา ในขณะที่แม่นั่งทุรน
ทุึรายและกังวลกลัวว่าพ่อจะทำอะไรผิด ซึ่งนั่นหมายถึงเงินเรือนแสนที่ต้องจ่ายเพื่อการทำคลอด ถ้าหาก
มีอะไรผิดพลาด ก่อนที่ทุกอย่างจะสาย คุณย่าเยอรมันก็ลากสังขารของคนแก่ที่ขาไม่ค่อยดีขึ้นเขามาเจรจา
กับเจ้าหน้าที่ เมื่อเสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าที่อย่างสมเกียรติคือชี้มือให้เราเดินไปทางนั้นแล้วขึ้น
บันไดไปหาห้องทำคลอดเอาเอง ถึงต้องนี้พ่อหันมามองหน้าแม่แล้วบ่นพรึมพรำว่า ขนาดโรงพยาบาลของ
รัฐที่แย่ที่สุดของเมืองไทยยังบริการดีกว่านี้เลย

ภาพเดิมๆ ของแม่เหมือนตอนที่ไปหาหมอประจำเดือนก็คือ แม่ต้องถูกจับวัดการบีบตัว
ของมดลูก รวมทั้งวัดดูการเต้นหัวใจของผมว่ายังเต้นดีอยู่หรือเปล่า การตรวจนี้กินเวลาประมาณ 30 นาที คุณ
ย่าเยอรมันถูกขอร้องให้มานั่งเป็นเพื่อนแม่ในห้อง ทั้งนี้อย่างน้อยเราจะได้มีคนคุยด้วย ในขณะที่แม่ต้องทน
กับอาการเจ็บปวดนั้น เราก็คุยกันไปเรื่อยในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ J. W. Bush ไปจนกระทั้งเงินเดือน
ของ Prof. ผมเองขณะที่พยายามดันหัวออกให้พ้นช่องคลอดอันน้อยนิดของแม่ ก็เลยได้ฟังเรื่องเหล่านี้ไปด้วย

หลังจาก 30 นาทีอันอึมครึมผ่านไป อาการของแม่ก็ดูเหมือนจะทรงๆ บางทีอาการปวดก็ดูเหมือนว่ามันจะน้อย
ลงไปด้วยซ้ำ ทั้งนี้พ่อบอกกับย่าเยอรมันว่า น่าจะเป็นเพราะมีย่าเยอรมันอยู่ด้วยแม่จึงไม่เจ็บปวดมาก ในขณะ
นั้นเอง น้องสาวของโรงพยาบาล(แม่ว่างั้น)ก็เดินเข้ามา ในมือมีขวดน้ำยาบางอย่าง เธอใส่ถุงมือพลาสติกแล้ว
ก็เอาน้ำยาสีม่วงนั้นทาไปที่นิ้ว เธอบอกกับย่าเยอรมันว่า เธอจะตรวจดูช่องคลอดว่าเปิดพอหรือไม่ ถ้าไม่พอก็
จะให้ออกไปเดินเล่นซักชั่วโมง แล้วกลับมาตรวจอีกที ถ้ายังไม่เปิดอีกก็จะให้กลับบ้าน ซึ่งคนที่จะตรวจคนต่อ
ไปนั้นไม่ใช่เธอแล้วนะ แต่เป็นเพื่อนของเธอ ว่าแล้วเธอก็บรรจงแหย่นิ้วน้อยๆ ของเธอเข้าไปในช่องคลอดผม
สิ่งที่เธอหานั้นไม่ใช่อะไรที่ไหน แต่เป็นหัวของผมนั่นเอง เธอคำอยู่นานสองนานแล้วทำหน้าไม่ค่อยมั่นใจ ว่า
แล้วเธอก็ลองอีกที ช่วงที่จะลองอีกทีนั้นเธอต้องเอานิ้วออกมาก่อน ภาพที่เห็นคือนิ้วเปื้อนเลือดข้นๆ ของแม่
ถึงตอนนี้พ่อเบือนหน้าหนีตามปกติ ก็พ่อเห็นเลือดไม่ได้มานานแล้ว น้องสาวของโรงพยาบาลได้พยายามลอง
ใหม่อีกครั้ง คราวนี้เธอสามารถวัดความกว้างของช่องคลอดที่เิปิดแล้วได้ 1-2 เซนติเมตร โดยที่เธอสรุปว่าอะไร
ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ขอให้ไปเดินเล่นซักชั่วโมงก่อนแล้วค่อยว่ากัน


อะไรๆ ก็เลข 4

ผมเกิดวันที่ 04.11.04 ซึ่งเป็นวันที่มีใครคนหนึ่งในอีกซีกโลกประกาศยอมแพ้การเลือกตั้งที่ผมว่ามันต้องมีีความ
สำคัญมากๆ แน่ ไม่งั้นคนเกือบทั้งโลกคงไม่ดูเศร้าหมองขนาดนั้น ยังดีที่คนมากกว่า 10 คน รู้สึกเบิกบานและร่วม
ยินดีต่อการเกิดของผม ซึ่งผมอดแอบภูมิใจไม่ได้ว่า ผมเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกที่เศร้าหมองกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ได้บ้าง

ผมเกิดเวลา 19.15 น. จะเห็นว่า 19 - 15 เท่ากับ 4 พอดี และก็พักห้องหมายเลข 14 ผมตัวยาว 46 เซนติเมตร มี
รอบศีรษะใหญ่กว่าเอวของพ่อซึ่งคนละหน่วยอยู่ 1 นั่นคือ 31 เซนติเมตร ไม่ต้องเดานะครับว่า 3 + 1 = 4 อีกแล้ว
อะไรๆ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเลขสี่ทั้งสิ้น นี่ยังไม่นับรวมว่าผมเกิดวันพฤหัสบดี ซึ่งเป็นวันทำงานวันที่สี่อีกนะ อิ อิ

ผมเริ่มพยายามดันตัวออกทางช่องคลอดของแค่ตั้งแต่ตีสี่กว่าๆ แม่เริ่มรู้สึกเจ็บมากเป็นช่วงๆ ทุกๆ 14 นาที แล้ว
มันก็เริ่มหดสั้นลงสั้นลง แม่เริ่มบิดตัวไปมาจนท่านอนตะแคงไม่สามารถรับมือไหว ผมก็สงสารแม่เหลือเกิด ไม่
อยากเห็นแม่เจ็บ แต่ก็ไม่รู้ทำไงนี่พ่อวันนี้ต้องเตรียมสัมมนาก็เริ่มถามอาการแม่ แล้วพยายามบอกผมว่าไม่ใช่วัน
นี้นะลูก เพราะพ่ออยากให้ลูกเกิดวันเดียวกับแม่ (เพื่อนของแม่คนหนึ่งให้ความเห็นชี้ขาดว่าการที่ลูกเกิดวันเดียว
กับแม่นั้นไม่ดี เพราะเมื่อลูกโตแล้วมีแฟน ถ้าเกิดลูกอยากฉลองวันเกิดกับแฟน แม่อาจจะน้อยใจก็ได้) และก็พ่อยังรู้สึกว่ายังอุปกรณ์ต่างๆ ยังเตรียมไม่พร้อม

แม่เปลี่ยนท่านอนเป็นท่าก้งโค้งเพื่อลดความเจ็บปวด ยังดีที่ความเจ็บปวดนั้นทิ้งระยะห่างพอให้มีเวลาหายใจได้บ้าง
พ่อออกไปทำงานด้วยความกังวล และถามย้ำกับแม่หลายครั้งว่าต้องการให้พ่อยกเลิกการสัมมนาหรือเปล่า แต่แม่ก็
ยืนยันความเป็นผู้หญิงราศีแมงป่องได้ดีด้วยการบอกพ่ออย่างหนักแน่นว่า ห้ามยกเลิกเด็ดขาด ไม่ต้องเป็นห่วงแม่

พื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ เนื่องจากฝนตกเมื่อเช้า ผมได้ยินเสียงชายคนหนึ่งไขกุญแจบ้านเข้ามา เป็นใครไปไม่ได้
นอกจากพ่อผมพ่อรีบกลับมาแทบจะทันทีที่รู้ว่าแม่มีเลือดออกแล้ว พ่อดูกังวลแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มที่มุมปาก
ถามอาการของแม่ให้ดูเหมือนคนร้อนรน ซึ่งจริงๆ แล้วผมรู้ว่าพ่อไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลย พ่อเป็นคนมีสติในเวลา
อย่างนี้เสมอ สรุปได้ว่าเนื่องจากการดันช่องคลอดของผม ตอนนี้แม่เจ็บทุกๆ 7 นาที พ่อบอกว่าพ่อจะกลับไปถาม
คุณย่าเยอรมันว่าควรจะทำอย่างไรดี ทั้งนี้เรากลัวว่านี่เป็นแค่การเจ็บเตือน

ผ่านไปเกือบ 14 นาที พ่อกลับมาพร้อมกับหญิงวัย 57 ปี ย่าเยอรมันนั่นเอง เธอย้ำเตือนทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไม่ให้เรา
ลืมสิ่งของต่างๆ แล้วเธอก็พาพ่อกับแม่ไปโรงพยาบาล

ผมเป็นผีจีน

กลัวไหม ฮ่า ฮ่า


11/19/2004

ผมชื่อหมาอ้วน



"หมาอ้วน" เป็นชื่อที่พ่อชอบเรียก ไม่รู้ว่าผมอ้วนตรงไหน เกิดมาก็ตัวเล็กนิดเดียว หนักแค่ 2,480 กรัมเอง ตัวก็เล็ก
นิดเดียว จริงๆ แล้วชื่อที่พ่อเรียกนั้นมีมากกว่านี้แล้วแต่อารมณ์ แต่ละชื่อล้วนแล้วแต่มีที่มาที่ไป อย่างกรณีที่ผม
ดิ้นไปดิ้นมา ไม่ยอมหลับยอมนอน พ่อก็จะเรียกว่า "ไอ้หนูซ่าส์ เป็นอะไรทำไมไม่นอน หา" ถ้าพ่ออารมณ์ดีหน่อย
ก็จะเรียก "ไอ้หนูซ่าส์ ไอ้หมาอ้วนเอ๊ย" ส่วนแม่มักจะเรียกผมว่า "ไอ้หมาน้อยของแม่"

ชื่อเล่นมีดีๆ ก็ไม่ค่อยเรียก แท้จริงแล้วผมชื่อ "นีร" ซึ่งแปลว่าน้ำ ถูกตั้งไว้ตั้งแต่ผมเริ่มขยับตัวแรงๆ ได้ พ่อกับแม่
ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกเลยว่าจะให้ผมโผล่ออกมาดูโลกผ่านน้ำ ชื่อนี้ไม่ว่าจะเป็น ปู่ ย่า ตา หรือยาย ของผม ไม่ค่อยจะ
มีใครชอบเท่าไหร่ เพราะอะไรเหรอ ก็เค้าว่ากันว่ามันเหมือนชื่อผู้หญิง แต่พ่อก็ให้เหตุผลว่ามันออกเสียงว่า นีน ถ้า
จะเขียนให้ฝรั่งดูก็เขียนแปลงๆ หน่อยให้เป็น "niel" ซึ่งจะได้ไม่ยุ่งยากเวลาอธิบายให้คุณย่าเยอรมันฟัง

ส่วนชื่อหมาอ้วนนั้น มาจากกริยาที่ผมชอบทำ ถ้าดูรูปแล้วทำท่าทางตามรูปไปด้วย แลบลิ้นออกมาหน่อย จากนั้น
ก็ขยับแขนขึ้นลงๆ เมื่อทำได้คล่องแล้วก็ลองหันไปถามคนข้างๆ ว่าเหมือนอะไร ผมว่าเด็ก 99% ในโลกใบนี้เมื่อเกิด
ใหม่ๆ ก็ต้องทำท่านี้กันทั้งนั้น ก็ในท้องแม่พวกผมนอนท่านี้นี่นา พ่อเล่าให้ผมฟังว่าตอนผมหลุดออกมาจากท้องแม่
ใหม่ๆ นั้นหน้าผมจะเหมือนหมามาก ตัวเล็ก เนื้อใสๆ แดงๆ ตาโปนๆ ลืมตาก็ไ่ด้ แถมครางหงิงๆ ดูยังไงก็เหมือนลูกหมา
มากกว่าลูกคน พ่อผมก็เหลือเกินตอนโทรศัพท์ไปบอกย่าที่เมืองไทย ย่าถามว่าผมหน้าเหมือนใคร พ่อผมตอบแบบ
ไม่ต้องคิดว่าหน้าเหมือนลิง เอ้าตกลงจะให้เป็นหมาหรือเป็นลิงกันเนี่ย

ส่วนชื่อจริงของผมนั้น กว่าพ่อแม่จะตั้งกันได้ก็ต้องพลิกตำรากันทีเดียว จะว่าไปพ่อกับแม่ก็ไม่เชื่อเรื่องโหราศาสตร์
กันอยู่แล้ว แต่เหตุผลของพ่อก็คือไม่อยากให้ตอนโตมีใครมาทักว่าชื่อมีตัวอักษรไม่ดี ส่วนแม่แล้วแม่ต้องการให้
ลูกมีชื่อดีทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า ชื่อผมจึงถูกต้องตามตำราตัวอักษรและตำราเลขศาสตร์ เรียกว่าดูทางไหนก็
ดีไปหมด เลยออกมาเป็น "ปัณณวิชญ์" นี่แหละ ถ้าเขียนภาษาอังกฤษก็จะเป็น "pannawish" ชื่อภาษาอังกฤษนี้
ตัดสินใจกันนาทีสุดท้ายเลยทีเดียว เพราะต้องเขียนให้ได้ตามหลักเลขศาสตร์ด้วย พ่อนั่งบวกเลขจนหัวปั่นเลย ก็
ต้องทำประกันสุขภาพให้ผมแล้วนี่นา ไม่งั้นไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลผมด้วย

นอนดีกว่า....................................