11/16/2005

กลับบ้าน



นอกจากได้เที่ยวแดนกังหันลมแล้ว พ่อแม่และพี่ๆ ยังได้พาผมไปเที่ยวอีกหลาย
แห่ง ไม่ว่าจะเป็นสวนดอกทิวลิปที่เค้าว่าสวยที่สุดในโลก ศาลโลกที่เค้าว่าเป็น
ศาลของโลก แล้วก็วนกลับมาเที่ยวเมืองหลวงของแดนกังหันแห่งนี้เป็นที่ๆ
สุดท้าย โรงแรมที่พักปลายทางค่อนข้างดี ทำให้เราไม่ต้องรีบเร่งในตอน
เช้าอีกแล้ว พ่อมีเวลานอนส่งเสียงสิงโตจนเต็มอิ่ม เช้าเราก็ไม่ต้องรีบเร่ง มีเวลา
นั่งทานอาหารของโรงแรมอย่างเต็มที่ จนเจ้าพนักงานเอาของมาเสริฟแทบไม่ทัน




ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากการเดินทางไกลร่วมกับพ่อและแม่หนนี้ แต่
ที่สำคัญที่สุดคือผมพลิกตัวได้ นอกจากนั้นยังมีบทเรียนอีกหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่ผมคงต้องรู้ นั่นคือผมไม่ใช่เด็กที่ยังเดินไม่ได้คนเดียวในโลก วันที่ไปเที่ยวสวน
ทิวลิป ผมต้องพบกับความน่ากลัวในระหว่างที่ขึ้นรถบัสกลับสถานีรถไฟ พ่อเอา
ผมใส่รถและจอดรถบนรถบัสเคียงข้างกับเด็กจีนที่อายุมากกว่าผมแค่สองเดือน
ตอนนั้นผมหกเดือนได้แล้ว แต่เด็กคนนั้นรูปร่างใหญ่โตกว่าผมมาก ทุกวันนี้ผม
ก็ยังคิดว่าเค้ายังตัวใหญ่กว่าผม วันนั้นในขณะที่ผมนอนเบาใจอยู่ในรถ เจ้ายักษ์
จีนก็โผล่หน้าเข้ามา แล้วร้องทักทายผม



"่ว่าไงไอ้ตัวเล็ก"



"เล็กแต่ซ่าส์โว้ย" ผมตอบโดยที่ยังไม่ได้หันไปมองว่าใครทัก



"หันมาหน่อยดิ ไอ้ตัวเล็ก มีอะไรจะให้ดู"



ผมหันไปทันทีด้วยสัญชาติญาณ ภาพที่เห็นคือเด็กที่ตัวใหญ่กว่าผมเกือบสอง
เท่า แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือเค้าคนนั้นขาวจนซีดเผือก แต่ลืมตาเกิดมาผมยังไม่
เคยเห็นใครขาวได้ขนาดนี้ ผมเหลือบไปมองดูแขนของตัวเอง แล้วพยายาม
เปรียบเีทียบ ไม่ใช่แน่ ไม่ใช่แน่ๆ ผมไม่ไหวแล้ว ผมหันไปมองพ่อซึ่งยืนยิ้มแต้
อยู่ พร้อมกับส่งสัญญาณว่าผมไม่ไหวแล้วอุ้มผมหน่อยจนลั่นรถ แง้ แง้ พ่อช่วย
ด้วย



นั่นเป็นเหตุการณ์ไม่คาดฝัน กลับมาถึงบ้าน เพื่อการเตรียมพร้อม ผมเลยฟิต
ร่างกายพลิกซ้ายพลิกขวา พร้อมกับหัดส่งเสียงดังเพื่อขู่คนอื่นให้กลัว ไม่หล่ะ
ผมจะไม่ยอมอีกแล้ว วันก่อนพ่อเอาปูไขลานสีแดงมาให้เล่น มันเดินแกลกๆ
มาหาผม แหะ แหะ น่ากลัวอ่ะ ผมลองส่งเสียงขู่มันให้กลัว "ปู้ ปู้" ไม่ได้ผลเลย
ซักนิด มันยังคงย่างสามขุมเข้ามาหาผม นี่ผลของการฝึกซ้อมไม่ได้ผลอะไรเลย
เหรอไง มันยังเดินเข้ามาหาผม ไม่ไหวแล้ว แง้ แง้ พ่อช่วยด้วย

10/08/2005

โรงแรมนรก ตอนที่ 2



ชายร่างผอมสูง แก้มตอก ปรากฎกายอยู่เบื้องหน้าผม แสงสลัวจากภายในโรงแรม
และความมืดยามโพล้เพล้ทำให้ผมมองไม่เห็นหน้าของเขาชัดเจนนัก หลังจากที่ปรากฎ
กายอย่างไม่เป็นมิตรนัก เขาก็พาพวกเราเข้าไปยังเคาน์เตอร์อย่างไม่เต็มใจนัก พ่อเดิน
ตามชายผู้นั้นโดยไม่รู้สึกอะไร ในขณะที่ผมกลัวจนอึจะราดอยู่แล้ว ก็คงไม่แปลกถ้า
มันจะราดออกมาตอนนี้ เพราะนับตั้งแต่ตอนเช้าบนรถไฟ ผมก็ไม่ได้สัมผัสความรู้สึก
นั้นอีกเลย เวลายังคงเดินตามหน้าที่ของมัน แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ได้ทำหน้าที่ของ
มันดีนัก ในขณะที่พ่อต่อรองกับชายน่ากลัวคนนั้นอยู่ ก็ยังมีผู้หญิงอ้วนอีกคนเข้ามา
สมทบ เธอพูดอะไรสักอย่างเสียงแผ่วเบากับชายคนนั้น ก่อนที่จะหันมาแสยะยิ้มอย่าง
หน้ากลัวให้ผม ผมไม่แน่ใจว่าผมตาฝาดหรือเปล่า ผมเห็นเธอเอาลิ้นเลียริมฝีปากล่าง
ทุกครั้งที่มองมายังผม



เราได้รับอนุญาตให้เอารถเข็นของผมวางไว้ชั้นล่างได้ หลังจากนั้นไม่นานผมก็ถูกยก
ตัวขึ้น แล้วพ่อก็พาผมกับแม่ขึ้นไปยังห้อง ผมเองแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าสถาปนิก
หรือช่างฝีมือคนใดในโลกจะออกแบบโรงแรมให้มีลักษณะอย่างนี้ได้ มันเป็นบันได
ปกติที่มีขั้นแคบและสูงชัน จะดีหน่อยก็ตรงที่มันปูพรหมไปตลอด ในขณะที่พ่อพาผม
ขึ้นบันไดไปนั้น ผมเองก็อดหันไปมองข้างล่างไม่ได้ หน้าของหญิงอ้วนคนนั้นยังคง
ฝังใจผมอยู่



ผมถูกวางลงบนเตียงที่ปูด้วยผ้าลินินสีน้ำเงินเข้ม ด้วยความที่อึดอัดอยู่บนรถเป็นเวลา
นาน ผมจึงได้โอกาสกลิ้งตัวไปบนเตียงอย่างสนุกสนาน พ่อและแม่มองผมด้วยสาย
ตาประหลาดปนปิติ ก็เพราะตั้งแต่เกิดมาผมเองยังไม่เคยขยับตัวได้ดังใจมากมายขนาด
นี้มาก่อนเลย ว่าแล้วพ่อก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ ผม ก่อนจะรวบรวมพลังลุกขึ้นเพื่อกลับ
ไปเอาของข้างล่างที่ยังเหลืออยู่ ไม่นึกเลยว่าพ่อเองก็กลัวสาวอ้วนคนนั้นเหมือนกัน
ก็พ่อขึ้นมาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ พอมาถึงหน้าห้องก็รีบเคาะประตูเรียกแม่อย่าง
รวดเร็ว ปากก็หอบไปด้วย ก่อนล้มตัวลงนอนข้างๆ ผมด้วยความตื่นตระหนก



ผมรู้สึกเป็นสุขที่โรงแรมแห่งนี้มาก เพราะผมได้กลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงผ้าลินินสี่น้ำเงิน
เข้มได้อย่างอิสระ ในขณะที่เมื่อออกไปนอกโรงแรม ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากนอน
อยู่ในรถเข็น ภายใต้สภาพอากาศที่บัดเดี๋ยวร้อนบัดเดี๋ยวหนาว ขณะที่พ่อและแม่
กำลังจัดของ และเตรียมที่จะพักผ่อน สาวหน้าแป้นก็ส่งข้อความมาทางโทรศัพท์เพื่อ
แจ้งให้เราทราบว่าพรุ่งนี้เจอกันเก้าโมงเช้า เป็นอันว่ามีผมคนเดียวที่ได้กินข้าวเช้าใน
ขณะที่พ่อกับแม่ทำได้แค่เข้าห้องน้ำ เพราะกว่าครัวจะเปิดในวันหยุดอย่างนี้ก็เก้าโมง
แล้ว



พ่อตื่นอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักไปทำธุระแล้วมาเปลี่ยนกับแม่ ผมเองเฝ้าดูแม่เก็บ
ข้าวของอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทำให้รู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก พ่อเองทำได้แค่
ดูแลข้าวของของตัวเองเท่านั้น เพียงเพื่อไม่ให้ภาระของแม่เพิ่มมากขึ้น พ่อเคยพูด
ไว้กับเพื่อนคนหนึ่งตอนไปประชุมว่า "เวลาดูว่าใครมีเมียหรือไม่มีเมียนะ ให้ดูที่เสื้อ
ผ้าที่ใส่วันที่สอง ถ้ายับหล่ะก็โสดแน่นอน ส่วนพวกที่ไม่ยับก็มีเมียแล้ว ถ้าใครไม่
มีเมียแล้วดันใส่เสื้อผ้าเรียบวันที่สอง ก็ตุ๊ดแน่นอน" ไอ้เพื่อนคนที่พ่อคุยด้วยสะดุ้ง
โหยง เพราะมันโสดและใส่เสื้อผ้าเรียบ จริงๆ แล้วการที่เสื้อผ้าเรียบได้นั้นก็เพราะ
ว่าแม่พับเสื้อผ้าเป็น ในขณะที่ผู้ชายทั่วไปจะผับเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางอย่างไร
ก็ไม่เรียบนั่นเอง เมื่อเรียบร้อยแล้วพ่อก็ทยอยขนข้าวของที่ถูกแบ่งออกเป็นสาม
ส่วน เอาลงไปข้างล่างทีละสองชิ้น ซึ่งมีผมเป็นชิ้นสุดท้ายเพื่อความปลอดภัย



ตอนเช้าวันอาทิตย์ช่างเงียบเหงาไร้ผู้คนสิ้นดี สภาวะจิตใจของแม่ตอนนี้ไม่ค่อย
ดีนัก เพราะอ่อนเพลียและผิดหวังกับที่พักพอสมควร ด้วยเงินที่จ่ายไปมันควรจะ
ดีกว่านี้ พ่อเข้าใจความรู้สึกของภรรยาสุดที่รักดีจึงโชว์ความสามารถนำทางไป
สถานีรถรางได้โดยไม่ต้องดูแผนที่ แน่นอนไม่หลง พ่อหันไปมองแม่แล้วบอก
"ฉันไม่ใช่ไอ้ริกนะ" เรารอรถรางนานพอสมควรและก็ไปถึงที่นัดหมายทันเวลา
แบบเฉียดฉิว และแล้วสาวหน้าแป้นก็ส่งข้อความมาบอกว่าเวลานัดเลื่อนออกไป
อีกหนึ่งชั่วโมง -_-!

8/26/2005

โรงแรมนรก



เอาเป็นว่าเราขึ้นเรือได้ อากาศ
ที่นี่ก็ไม่ค่อยเป็นใจต่อการนั่ง
เรือนัก ลมค่อนข้างแรง แดด
ออกแต่หนาวจับใจ ถ้าเราเข้า
ไปในตัวเรือที่มีหลังคาก็จะร้อน
ไม่สบายตัวอีก การเดินทาง
โดยเรือหางสั้นลำนี้ค่อนข้าง
จะสบายแต่ช้าด้วยเหตุุุนี้เอง
ผมจึงถูกจับไปนั่งที่โน่นทีที่นี่
ทีประหนึ่งว่าผมเป็นของเล่น
ก็ไม่ปาน พวกพี่ๆ แวะเวียนมา
เล่นด้วยตลอด บ้างก็มาถ่าย
รูป บ้างก็มาเล่นตลกให้ดู ผม
ก็ได้แต่ขำๆ นะ แต่ยังโตไม่
พอที่จะขำอะไรได้มากนัก
ตอนอยู่บนเรือผม


ร้องงอแงบ้าง แต่ไม่มาก จำได้ว่าร้องครั้งไหนเป็นได้กินนมทุกครั้ง พ่ออุ้มไปเดินเล่นบ้าง
ที่กาบเรือด้านนอก เสียวจับใจเพราะลมแรงแต่ก็สนุกดี พ่อเคยจำฝังใจในอดีตว่าเคยโดน
พ่อแกล้งจับยกขึ้นเหนือบ่องูที่เชียงใหม่ กลัวฝังใจก็เลยไม่กล้าเล่นจับผมออกไปนอกตัว
เรือเลยซักครั้ง ก็ดีไปจะได้ไม่มีประสบการณ์เสียวฝังใจไปจนโต การนั่งเรือนานๆ ที่มีเสียง
บรรยายถึงสิ่งก่อสร้างรอบข้างที่ฟังไม่รู้เรื่อง สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก ก็เพราะ
ผมยังไปไหนมาไหนเองไม่ได้ ร่างกายมันช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย ถึงแม้ว่าผมจะพยายาม
ขยับอย่างไร แขนขามันก็ไม่มีเรี่ยวแรง พอที่จะยกตัวผมขึ้นไปไหนมาไหนได้ ผมทำได้ก็
แต่ร้องเรียกให้พ่อกับแม่อุ้มเดินไปไหนต่อไหน บางครั้งก็ได้ผล บางครั้งก็ได้นมมายัดปาก
แทน ถ้านมหมดก็จะได้จุกนมหลอกใส่ปากเป็นอันว่าอิสรภาพหมดลงตรงนั้น



เรื่องราวหลังจากนี้ผมรู้ว่าพ่อกับแม่และพี่ๆ สนุกกันมาก สำหรับผมนั้นไม่สนุกเลยอากาศ
มันเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว และผมก็อ่อนเพลียมากทำให้ผมหลับไปตลอดทาง ถึงแม้ว่าจะมี
เสียงหัวเราะหยอกเย้าดังมาเข้าหูเป็นระยะๆ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมใส่ใจได้ เมื่อผมตื่นขึ้น
มาผมก็พบกับเรือลำเดิมพบกับพวกพี่ชุดเดิมๆ สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงลีลา และที่น่าแปลก
ใจมากคือพลังของพวกพี่ๆ ไม่เคยตกในขณะที่พลังงานของผมหมดลงไปนานแล้ว



เมื่อขึ้นจากเรือแล้ว เราก็เดินเที่ยวกันต่อก่อนที่จะแยกย้ายกันไปยังที่พัก มันเป็นโรงแรม
ที่ไม่มีดาวแต่ราคาแพงใช้ได้อยู่ รถเข็นคันเก่งพาร่างกายอันไร้เรี่ยวแรงของผมไปเรื่อยๆ
โรงแรมนั้นหายากเอาการอยู่ แต่พอพวกเราตั้งหลักหาเลขที่ตึกเจอ อะไรๆ ก็ง่ายไปหมด
พ่อซึ่งเคยผ่านแต่ B&B ที่อังกฤษมา ก็ยังคิดอยู่ในใจว่าไอ้ราคา 70 ยูโรต่อหนึ่งคืน มันต้อง
มีอะไรเทียบเคียงได้กับ 50 ปอนด์ที่อังกฤษได้ จึงมิได้คิดอะไรนับตั้งแต่จองโรงแรมแล้ว



พวกเราพากันเดินต่อไปตามถนนที่สามารถมองทะลุยาวไปข้างหน้าได้สุดลูกหูลูกตา หมาย
เลขป้ายบอกเลขตรงกับแผ่นกระดาษที่พิมพ์ไว้ เบื้องหน้าของพวกเราเป็นตึกสูงสี่ชั้นเป็น
แถวต่อกันยาวเหยียด พ่อรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่มันแค่คูหาเดียว แสงแดดที่ลับขอบฟ้าไป
แล้วทำให้สภาพของโรงแรมดูวังเวง พ่อกดกระดิ่งหลายครั้ง พนักงานก็ยังไม่ลงมาเปิด
ประตู พ่อหันหน้าไปหาลูกคณะสองสามทีเพื่อให้แน่ใจว่าคนอื่นๆ ยังเต็มใจรอกันอยู่ เวลา
ผ่านไปอีกไม่นาน เจ้าของโรงแรมผอมสูงพาหน้าที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกโผล่ออก ก่อนบอก
ว่าประตูมันเสียยังไม่ได้ซ่อม ก่อนที่จะพาพวกเราขึ้นไปบนโรงแรม



ตัวตึกแคบๆ ของโรงแรมยังถูกแบ่งส่วนหนึ่งเป็นส่วนต้อนรับ อีกครึ่งหนึ่งคือบันได ....

8/12/2005

ลงรถ ขึ้นเรือ


คำกล่าวที่ว่า "ขึ้นรถ ลงเรือ ไปเหนือ ล่องใต้"
คงจะใช้กับการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ เมืองคน
ค่อมสะท้านโลกที่เราไปถึงนี้ก็เหมือนกับเมือง
อื่นๆ ทั่วๆ ไปในยุโรป คือมีถนนแคบๆ เยอะแยะ
ไปหมด ไปไหนมาไหน ถ้าไม่เมื่อย การเดินก็
คือการเดินทางที่ดีที่สุด คณะเดินทางตัดสินใจ
พักรับประทานอาหารราคาถูกก่อนจะไปขึ้นเรือ
ผมจำได้แม่ว่าตั้งแต่ร้านอาหารที่มีสัญลักษณ์
เป็นตัวเอ็มแห่งนี้มีสินค้าราคา 50 บาท กินหนึ่ง
ชิ้นไม่อิ่มขึ้นมา มันก็ทำให้พ่อกับแม่มีทางเลือก
มากขึ้น แทบทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก พ่อกับ
แม่ก็จะลงทุนควักกระเป๋าซื้ออาหารที่ว่ากินทุก
ครั้ง จนบัดนี้หน้าพ่อก็ได้กลายเป็นเบอเกอร์ไก่
ไปแล้ว

แต่แน่นอนหล่ะ ผมคนหนึ่งที่ไม่ชอบอาหารไร้
คุณค่าราคาถูกพวกนี้หรอก ยังไม่ทันไรพ่อก็ยื่น
ขวดนมขวดเก่าที่ผมเห็นจนชินตาตั้งแต่เกิดให้ น้ำนมอาจจะมีรสชาติเปลี่ยนไปบ้างตามอายุผม
แต่มันก็ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง ถึงมันอร่อยสู้น้ำนมแม่ไม่ได้แต่มันก็ดีกว่าเบอเกอร์ไก่ละน่า ใน
ขณะที่ผมตั้งหน้าตั้งตาดูดนมจากขวด พ่อก็จัดการกับเบอเกอร์ไก่ชิ้นที่สองหมดแล้วด้วยเวลาอัน
รวดเร็ว พ่อกับแม่หันไปมองหน้ากันโดยพ่อทำทีว่าถ้าแม่ไม่กินอีกชิ้นที่เหลือ พ่อจัดการก็ได้นะ
ส่วนแม่ก็รู้ใจ รีบยื่นให้ทันที ในขณะนั้นพวกพี่ๆ ก็กำลังถ่ายรูปกันและกันอยู่อย่างสนุกสนาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพี่ริกที่ได้รับเกียรติอันน่าภาคภูมิใจ ในการเป็นหนึ่งในของแปลกที่น่าจดจำ

เวลาผ่านไปได้ซักพัก เมื่อเวลาเหลือไม่มาก และผมก็อิ่มแล้ว โดยการสบัดจุกนมออกจากปาก
อันน้อยนิด ก็เป็นอันว่าทุกคนรู้ว่าผมอิ่มแล้ว เดินทางต่อได้ แม่อีกตามเคยที่พร้อมก่อนคนอื่น
ในขณะที่พ่อก็เป็นคนคอยตรวจสอบความผิดพลาดอันพึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจว่า
ลืมของหรือไม่ ถ้าอันไหนพ่อมั่นใจว่าไม่ลืมแล้ว พ่อก็จะแกล้งแหย่แม่กับพี่ริกว่าลืมของหรือเปล่า
จนป่านนี้แล้ว พี่ริกก็ยังไม่วายห่วงหนังสือเดินทาง เมื่อพ่อทักพี่ริกก็กำมันแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ขบวนของเราเวลาเดินจะแยกเป็นสามกลุ่มค่อนข้างชัดเจน พวกที่นำหน้าก็คือพวกที่จะต้องรับผิด
ชอบขบวนให้ไปถึงที่หมายในเวลาที่กำหนด พวกที่อยู่ตรงกลางก็จะคอยทำหน้าที่ไม่ให้พวกที่รั้ง
ท้ายหลงและคอยตรวจสอบการตัดสินใจของพวกแรก ในขณะที่กลุ่มสุดท้ายจะเป็นกลุ่มที่สำคัญ
ที่สุดเพราะต้องคอยเก็บรายละเอียดของการเดินทาง ยกตัวอย่างเช่นพี่ริก พี่โซ่ พี่เจิน ก็จะทำ
หน้าที่เก็บภาพถ่ายร่วมกับคิงคองยักษ์หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง หรือไม่ก็เก็บภาพที่เป็นสัญลักษณ์
แปลกประหลาดร่วมกับอนุสาวรีย์ เป็นต้น ถ้าขาดกลุ่มสุดท้ายนี้พวกเราก็คงจะมีแต่รูปวิวสวยๆ ของ
พี่เอกเป็นแน่ ผมเองจะอยู่ในกลุ่มกลางสลับกับกลุ่มหน้าเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนรับผิดชอบ
รถเข็นของผม ถ้าเป็นพ่อผมก็จะอยู่กลุ่มกลาง ถ้าเป็นแม่ผมก็จะซิ่งไปอยู่กลุ่มหน้า จะมีบ้างบางครั้ง
ที่พ่อจะย้ายไปอยู่กลุ่มหน้า แต่ก็ไม่บ่อยนัก

พ่อแกะแผลสิวสีดำดวงใหญ่ที่ขึ้นตรงลักยิ้มพอดีเล่น ในขณะที่พี่เอกรับหน้าที่ไปถามเจ้าหน้าที่ที่ท่า
เทียบเรือ เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว เรือที่เราต้องนั่งไปกำลังจะออก เจ้าหน้าที่กำลังนับจำนวนลูก
เรือเล่น พี่เอกหันหน้ามาช้าๆ บอกพวกเราว่า เรือที่เราต้องไปด้วยนั้นอยู่ห่างออกไปอีกห้าร้อยเมตร
พ่อดูนาฬิกาเข็มเรือนเดิม มันบอกพ่อว่าเราเหลือเวลาอีก 5 นาที ทุกคนพยักหน้ารับ แล้วพวกเราก็วิ่ง
ในขณะที่พึ่งวิ่งมาได้ไม่นาน เพราะเข้าใจผิดว่าท่านี้แหละ พลังงานของพวกเราเหลือน้อยเต็มที นี่ถ้า
เราไปไม่ทันมันก็คงจะทำให้เรามีเวลาว่างมากขึ้นอีกสามสี่ชั่วโมง แต่นั่นจะทำให้เราพลาดสิ่งที่สวย
งามที่สุดแห่งหนึ่งของแดนกังหันลมแห่งนี้ แม่อีกแล้วที่ทุกคนยังคิดอะไรไม่ออก ผมและแม่ก็นำ
หน้าออกไป โดยมีพี่เอกนำหน้าอยู่ไม่ห่าง ความดีนี้ต้องยกให้พี่เอก เพราะการที่พี่เอกวิ่งออกหน้า
ไปโดยลืมสังขารความแก่เฒ่าของตัวเองเพื่อไปให้ถึงที่ขายตั๋วให้ได้ก่อนที่เรือจะออก แล้วแจ้งให้
พนักงานทราบว่ายังมีผู้โดยสารที่ต้องการไปอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง มันทำให้พวกเราไม่ตกเรือ

8/05/2005

ไปตามหากังหันลม 2


ใกล้ที่หมายเข้าไปทุกทีแล้ว หลายคนกำลังตื่นตัว
บางคนก็ตื่นเต้น บางคนก็เฉยๆ บางคนก็หลับอยู่
ภาพที่เห็นที่นอกหน้าต่างตอนนี้แตกต่างจากภาพ
อันจำเจของสองสามชั่วโมงที่ผ่านมา ทิวทัศน์
เริ่ม เปลี่ยนจากลักษณะของเยอรมันไปเป็นแดน
กังหันลมเข้าไปทุกที ผู้คนจากไหนก็ไม่รู้วิ่งกรูขึ้น
มาบนเจ้ามังกรปลุกให้ทุกคนละจากความคิดที่
กำลังโลดแล่นอยู่ในสมองให้หันไปดู ได้ความว่า
ราคาค่ารถไฟที่นี่มันเท่ากันหมด ทุกคนก็เลยกรููู
กันขึ้นรถ EC หรือไม่ก็ ICE กันพวกเราดูเหมือน
จะตื่นตกใจกับสิ่งที่เห็นกันหมดยกเว้นเพียงชีวิต
น้อยๆ ของผมและพ่อของผมที่ไม่ได้ตื่นเต้น
มากนัก คนหนึ่งกำลังกังวลว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้น
หรือไม่ อีกคนกำลังกังวลว่ามันจะเกิดขึ้นแล้ว
ผมทำตัวสั่นเหมือนคนเกิดอาการขนหัวลุก ไม่
ได้เจอผีแต่อย่างไร แต่อึจำนวนหนึ่งกำลังไหล
ผ่านรูทวารหนักน้อยๆ ของผมออกมา เจ้าสิ่ง
ปฎิกูลออกมานั้น ว่ากันว่าเป็นสิ่งที่เหม็นเป็น
อันดับสองของโลกจะเป็นรองก็เพียงแต่ผล
ผลิตของพ่อเท่านั้น อันนี้ผมไม่ได้ว่าแต่ได้ยิน
แม่พูดบ่อยครั้ง จำได้ว่าครั้งหนึ่งพ่อเคยนึก
หมั่นไส้ผมเพราะว่าผมดันไปอึที่ๆ ทำงานของพ่อ และครั้งนั้นนับได้ว่าเป็นผลงานชั้นเยี่ยมทีเดียว โชคดีที่เป็นวันเสาร์ไม่มีใครอยู่นอกจากผม พ่อและแม่ กลิ่นของมันช่างกดโสตประสาทให้จมลึก
ลงไปสู่ห้วงบ่อเกรอะได้เป็นอย่างดี พ่อคงคิดว่าผมควร จะรับรู้ถึงความเป็นไปของๆ สิ่งที่ออกมา
จากรูทวารของผม พ่อ จึงจัดการจับหัวผมกดลงไปในถุงที่บรรจุผ้าอ้อมอนามัยใส่อึของผม ได้ผล
สิครับผมร้องไห้จ้า ก็กลิ่นมันสุดที่จะทนจริงๆ สิ่งที่พ่อกลัวก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน โดยปกติแล้วผม
จะร้องบอกทุกครั้งที่ผมอึเสร็จแล้ว ไม่ไม่ชอบให้ก้นผมแฉะ และถ้าผม ไม่ได้ดั่งใจผมก็จะร้องดัง
ขึ้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนมีคนมาเปลี่ยนให้นั่นแหละ นั่นหมายความว่าถ้าจังหวะสุดของผมไปตรงกับช่วง
เวลาลงรถ แล้วหาสถานที่ี่เปลี่ยน ผ้าอ้อม สำเร็จรูป ให้ผมไม่ได้หล่ะก็ พ่อกับแม่คงมีอะไรสนุกๆ
แน่ๆ เลย

กลิ่นเหม็นๆ โชยไปทั่วห้อง มีพ่อกับหนุ่มแสน
เหงาพี่โซ่ที่รับรู้ได้ก่อน


ผมร้องบอกพ่อแม่ว่าเสร็จแล้ว
ก็เป็นอันว่ารู้กันว่าเสร็จแล้วได้
เวลาทิ้งผ้าอ้อมสำเร็จรูปอันเก่า
แล้ว คนที่ดีใจที่สุดก็คือพ่อ
เพราะหลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อม
แล้ว เราก็ยังมีเวลาเหลือให้รื่น
รมย์ชมวิวรอบข้างอีกนานโข
ในขณะที่ผมก็คงเป็นเด็กไทย
ไม่กี่คนหรืออาจเป็นคนแรกที่
ได้มีโอกาสได้อึบนรถเอเซ
(EC) พ่อยิ้มให้กับผมอย่าง
อารมณ์ดี ก่อนหันไปส่งยิ้ม
หวานให้แม่ คงสื่อความหมาย
ว่าลูกเรารู้จังหวะดีจังนะ คงไม่
ได้บอกแม่ว่าอึของผมรสชาติ
ิไม่เคยเปลี่ยนเลย



เราลงจากเจ้ามังกรตัวยาวที่เมืองหลวงของแดนกังหันลม แต่ไม่ได้แวะเที่ยวอะไร เพราะที่ๆ เรา
จะไปในวันแรกนี้เป็นดินแดนแห่งกังหันลมตัวจริง ก่อนอื่นเราต้องนั่งเจ้ามังกรตัวใหม่สีน้ำเงิน
เหลือง สภาพไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าใดนัก และกว่าจะได้ขึ้นหลังเจ้ามังกรสกปรกตัวนี้ พ่อก
็ต้องรอแม่กับพวกพี่ๆ ไปซื้อตัวอยู่นาน ได้ความว่าต้องไปต่อคิวยาวมาก ตู้ซื้อตั๋วก็ไม่รับธนบัตร
รับแต่เหรียญ คนก็ต้องไปหาเหรียญแลกกันให้วุ่นไปหมด กว่าจะได้ขึ้นและกว่าจะไปถึงว่ากัน
ตามจริงแล้วรถไฟของเนเธอร์แลนด์นั้นเทียบไม่ได้กับของเยอรมันเลย ไม่ว่าเรื่องไหนๆ แต่สิ่ง
ที่เยอรมันไม่มี แต่รถไฟที่นี่มีก็คือทิวทัศน์ของทุ่งทิวลิปหลากสีภายนอก พี่ริกถูกปลุกจากหลับ
ทันทีที่ทุกคนได้เห็นทุ่งทิวลิปแล้ว ทิวลิปผืนแล้วผืนเล่าผ่านสายตาพวกเราไปอย่างรวดเร็ว ผม
เองนอกจากไม่รู้เรื่องอะไรแล้วยังกวนแม่เล่นเป็นระยะ บางครั้งผมก็จะถูกเอานมใส่ปากบ้าง
หรือไม่ก็เป็นจุกนมสำหรับดูดเล่นบ้าง แต่ส่วนใหญ่ผมก็หลับ พ่อเองดูจะไม่ได้สนใจอะไรกับ
สีสวยสดของทุ่งทิวลิปเท่าใดนัก พ่อคงคิดว่าในไม่ช้าก็คงจะได้สัมผัสของจริง จะรีบร้อนตื่นตา
ตื่นใจไปไย แม่อาจจะรำคาญหรืออยากจะพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เห็นก็เลย ปล่อยผมนอนหลับ
ภายใต้สายตาของพ่อ ในขณะที่แม่ก็ไปร่วมวงสนทนากับพี่น้องต่างมารดาแต่สนใจเรื่องเดียวกัน
แวะมาเยี่ยมเยียนพ่อบ้างบางครั้ง ผมจำไม่ได้แล้วว่าพ่อเผลอหลับไปกี่ที แต่จำได้แน่ว่าหลับ

8/03/2005

ไปตามหากังหันลม 1


ท้องฟ้าบางส่วนเปลี่ยนเป็นสีดำทึมๆ หลายคนคงคิดไปว่าฝน
จะตกในไม่ช้า น่าแปลกที่คราวนี้พ่อไม่ได้แสดงความกังวล
ใดๆ ให้เห็น คงเป็นเพราะมัวสาละวนกับการโทรศัพท์ไปแกล้ง
เพื่อนร่วมชะตากรรม คนที่ต้องรับเคราะห์กับมุกที่แม่เรียกว่า
มุขเถื่อนๆ ก็ไม่ใช่ใคร ยังคงเป็นพี่ริกสุดที่รักของพ่อนั่นเอง
พ่อหัวเราะชอบใจ ก่อนจะถูกทำให้หน้าจ๋อยเมื่อได้รับสาระ
ว่าคนโทรจะต้องเสียเงินด้วย

หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ พ่อยังนั่งง่วงอยู่บนเจ้ามังกรสีขาวตัวยาว
อยู่เลย อากาศที่สดใสยามเช้าคงทำหน้าที่เป็นยารักษาความ
ง่วงที่ดีมากอันหนึ่ง ตัวผมเองยังคงทำตามปรือด้วยความง่วงอยู่
โดยปกติแล้ว ชีวิตในวัยทารกของผมไม่ค่อยได้ตื่นเช้ามากนัก แม่มักจะชักชูงให้ผมหลับต่อเสมอ วันนี้คงเป็นวัน
หนึ่งที่อาจจะมีไม่บ่อยนักที่ผมต้องตื่น เจ้ามังกรอีกตัวมันกำลังจะมารับผม เพื่อพาผมออกไปยังดินแดนที่ไม่ใช่
แผ่นดินเกิดของผม

สักพักใหญ่ โดยไม่ต้องรอให้เข็มวินาทีเคลื่อนเลยกำหนดการ เจ้ามังกรตัวยาวสีขาวมัวๆ ตัวใหม่เคลื่อนกายเข้า
มาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้มันจะไม่ขาวนวลสว่างเหมือนอย่างเจ้าตัวแรก แต่ถ้าไม่สังเกตมากเกินไปหน้าตาของมัน
ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตัวแรกมากนัก คราวนี้ครอบครัวเราไม่พลาด เป็นแม่อีกเ่ช่นเคยที่รู้ล่วงหน้าว่าส่วนลำตัวตรง
ไหนที่มีห้องพักสำหรับคนมีเด็กเล็ก ด้วยความฉลาดเช่นนี้ของแม่กระมังที่ทำให้แม่เลือกพ่อเป็นพ่อของผม แม่
นำพวกเราไปสู้เป้าหมายได้อย่างแม่นยำ

พี่เอกทำหน้าที่ช่วยยกรถเข็นคันเดิมแต่คราวนี้เปี่ยมไปด้วยสัมภาระหนักอึ้งเหมือนเคย ตู้โดยสารที่เราเข้าไปนั่ง
คราวนี้นอกจากจะเป็นห้องที่มีผนังกระจกปิด มีที่นั่งหกที่เหมาะสำหรับกิจกรรมสี่คนขึ้นไปแทบทุกประเภท ตัว
ผมเองไม่ได้รับอนุญาตให้นั่งอยู่ในรถ แต่ถูกจับเปลี่ยนอิริยาบถให้ไปนอนอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมกลางห้องแทน
พี่ริกกับพี่โซ่เข้ามานั่งกับเรา

ช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมพูดน้อยลง ยิ่งได้ออกมาผจญโลกภายนอกอย่างนี้แล้วผมก็ยิ่งไม่อยากพูด ได้
แต่มองไปรอบๆ และสังเกตโลกที่เปลี่ยนไปเท่านั้น ผมพบว่าบางครั้งบางคราวเจ้ามังกรก็หยุดไม่เคลื่อนไหว
บางครั้งก็วิ่งไปข้างหน้าช้าๆ สภาพรอบด้านก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจากป่าบ้าง ทุ่งนาบ้าง บรรยากาศน่านอนอย่างนี้
กลับไม่ทำให้พ่อรู้สึกง่วงเลย พ่อมีกิจกรรมให้ทำสลับสับเปลี่ยนกันไปตลอดทาง พ่อเปลี่ยนจากอุ้มผมคุยกับผม
เปลี่ยนไปมองหน้าทำตาซึ้งให้แม่บ้าง บางครั้งพ่อก็ทำท่าง่วง แม่ก็สลับเอาผมไปอุ้ม เป็นอย่างนี้ไปตลอดทาง เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี เสียงสัญญาณจากโทรศัพท์ซีเมนส์ M65 ที่พ่อรักมันน้อยกว่าผม
ไม่มากนัก ก็ดังขึ้นสองที นี่ไม่ใ่ช่สัญญาณธรรมดาที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่เป็นเสียงสัญญาณที่บอกเราว่าเรากำลังจะ
ข้ามแดนออกนอกแผ่นดินเกิดของย่าเยอรมันแล้ว เกิดการเยาะเย้ยถากถางถึงความดีเด่นของเครื่องรับสัญญาณ
ความถี่สูงขึ้นเป็นระยะ ก่อนที่พ่อจะนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ ไม่ใช่มันไม่เกี่ยวกับ passport ของพี่ริก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก สีหน้าพ่อแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด พ่อจ้องมองมาที่ผมเหมือนกับเป็นการส่ง
สัญญาณให้ผมได้รับรู้ว่าเรื่องที่จะเิกิดขึ้นนี้ผมจะมีส่วนเข้่าไปเกี่ยวข้องด้วย.............

6/09/2005

ตะลุยแดนกังหันลม 2



เราได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่างมากจากแฟนของพี่ปูปลา
หลังจากที่เรากับสมาชิกที่เหลือได้รวมกันหมดแล้ว เราก็เจอพี่
ปูปลาโดยบังเอิญ แน่หละเราไม่ได้ร่วมทางไปกับพี่ปูปลา แต่
เราก็รู้ว่ารถไฟอีเซเอ(ICE) จะมีห้องพักสำหรับแม่ลูกอ่อนเสมอ
แต่พี่ๆ หลายคนบอกว่าไม่เคยเห็น แล้วทำหน้างุนงงว่ามีด้วยเหรอ
อย่างไรก็ตาม เจ้ามังกรตัวยาวสีขาวนวลก็วิ่งมาถึงแล้วทำให้
ประเด็นการโต้แย้งต้องหยุดลงก่อนชั่วขณะ เป็นที่รู้กันว่ารถไฟ
ที่นี่ไม่รอใคร ขืนมัวโอ้เอ้อยู่เป็นอันได้ตกรถพอดี

พวกเราแปดคน แต่จะบอกว่าเจ็ดคนกับหนึ่งตัวก็ได้น่ะ เพราะว่าผม
เป็นหมา พ่อแซวผมบ่อยๆ เวลาพาผมเข้าไปในร้านที่ไม่อนุญาต
ให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าไปด้วย เราพยายามเลือกโบกี้ที่มีตู้ส่วนตัวสำหรับกลุ่มคนแต่ไม่ได้ เพราะมีคนจองไว้หมดแล้ว
ทั้งที่เลือกได้ยากเย็นแสนลำบากเพราะเจ้ามังกรตัวยาวสีขาวมันตัวยาวมาก ยาวเกินกว่าที่เราจะวิ่งไปวิ่งมาเพื่อเลือก
ตู้รถได้ตามใจชอบ แต่การหาที่นั่งนั้นยากลำบากกว่า คนเยอรมันก็เหมือนกับคนไทย ชอบเลือกที่จะนั่งเดี่ยวๆ และ
ที่นั่งคู่แทบทั้งหมดก็จะมีคนจองไว้นั่งคนเดียวเกือบหมดแล้ว แต่แน่หละเรายังพอหาที่นั่งสำหรับพวกเราได้ พ่อเสีย
สละทั้งที่ง่วงตาจะปิดอาสาดูแลผม ในขณะที่แม่ซึ่งตื่นเช้าและต้องคอยดูแลจัดข้าวของถูกบังคับให้นอนหลับ ผมเอง
ก็ถูกบังคับให้หลับเช่นกัน และที่สำคัญพ่อสั่งผมไม่ให้ส่งเสียงดังในช่วงเวลาที่ทุกคนต้องการนอนเช่นนี้ เรามีเวลาอีก
เพียงชั่วโมงครึ่งสำหรับเจ้ามังกรยาวตัวนี้ เพราะราต้องไปเปลี่ยนมังกรอีกตัวประมาณ 7.30 ที่อีกเมืองหนึ่ง

วันนี้พ่อแม่คงแปลกใจว่าผมทำตัวดีเป็นพิเศษ แต่แน่หล่ะผมก็ไม่นอนเหมือนปกติ ก็มีสิ่งล่อตาล่อใจให้ดูเยอะแยะ
ไปหมด สมาชิกทั้งหมดลงจากรถไฟขบวนยาวสีขาวที่ผมเรียกมันว่ามังกรตัวยาว สิ่งที่แย่ที่สุดที่พ่อและแม่ต้องเจอ
ก็คือมันไม่มีลิฟท์ยกของ แน่หล่ะสิ หมาตัวเล็กขนาด 7 กิโล บวกกับน้ำหนักของรถเข็น และกระเป๋าสัมพาระอีกเยอะ
แยะ ใครจะไปแบก แม่เลยตัดสินใจใช้ความรู้ภาษาเยอรมันที่ดีมากแต่ไม่ค่อยยอมใช้ของแม่ไปถามพนักงานดูแล
สถานี จะด้วยความสวยของแม่หรือความยอดเยี่ยมของภาษาเยอรมันที่แม่ใช้ก็ไม่รู้ แต่ว่าเจ้าหน้าที่ยอมเปิดลิฟท์
ขนของที่ปกติจะไขกุญแจให้เฉพาะเวลาต้องขนของเท่านั้นให้เราสามชีวิตใช้ ถึงห้องโดยสารในลิฟท์จะสกปรกและ
ดูน่ากลัวเพียงใด ก็ยังดีกว่าที่พ่อของผมต้องออกแรกที่เกินกำลังแหละน่า เอาเป็นว่าเวลานี้เราได้มาถึงสถานีรอไฟ
อีกต่อหนึ่งแล้ว เราเดินทางมาจนสุดที่จะกลับตัวกลับใจได้แล้ว พ่อดูจะคลายกังวลไปมากแล้วหล่ะ

5/27/2005

ตะลุยแดนกังหันลม 1



แม่เป็นคนที่สวยและใจดีที่สุดสำหรับผมเสมอ บ่อยครั้งที่แม่ทำ่ท่าเบื่อผม
สุดขีดตอนตีสามที่ผมตื่นขึ้นมาบิดตัวแล้วร้องหงิงๆ โดยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
แต่ผมก็รู้ว่าแม่จะเป็นอย่างนั้นอยู่พักเดียว ระหว่างพ่อกับแม่นั้นต่างกันมาก
พ่อดูเป็นคนที่กังวลไปซะทุกเรื่อง การคาดการณ์ล่วงหน้าของพ่อล้วนแล้ว
แต่เป็นเป็นการคิดเผื่อสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดเสมอ สิ่งนี้ทำให้พ่อไม่มี
ความสุขนักในการเตรียมตัว ในขณะที่แม่จะเป็นตรงกันข้ามเสมอ แม่มักจะ
ไม่กลัวอะไรเลย แม่จะมั่นใจในสองขาและสองแขนของแม่เสมอว่าจะนำ
แม่ไปได้ทุกๆ ที่ในโลก ถ้าพ่อไปด้วย

โชคดีเป็นของเราที่เหล่าพี่ๆ ได้อาสาเตรียมเสบียงไปเผื่อ แน่นอนไม่ได้เผื่อ
ผม เพราะผมยังกินไม่ได้ ถึงจะนอนหลับก็เถอะ และนั่นก็ทำให้แม่กับพ่อเบา
แรงไปเยอะ เช้าวันนี้มือถือที่พ่อใช้งานเป็นนาฬิกาปลุกซะส่วนใหญ่ก็ทำหน้า
ที่ของมันอย่างดี เรามีเวลาเหลืออีกประมาณหนึ่งชั่วโมงในการเตรียมตัว เพราะพี่ๆ จะมารับที่บ้านประมาณตีห้าสิบนาที
เพื่อให้ไปทันรถไฟเที่ยวตีห้าสี่สิบ ขณะที่ผมยังนอนหลับสบายโดยมีเสียงเล็ดลอดออกมาจากมุมปากเพื่อยืนยันการหลับ
ในขณะที่แม่จัดของใช้ต่างๆ ของทั้งสามชีวิต พ่อก็รับหน้าที่ดูแลตัวเองกับผม ไม่ว่าจะเช็ดตัวหรือแต่งตัวให้ผม รวมไป
ถึงการคอยเล่นกับผมเมื่อผมเผลอตื่นขึ้นมา ครอบครัวเราก็มักเป็นเช่นนี้เสมอ ทั้งนี้เพราะว่าการที่แม่จัดเตรียมของใช้
นั้น ด้วยความที่เป็นคนละเอียดรอบครอบ 99% ของทั้งหมดจะสมบูรณ์แบบ รับประกันได้ว่าไม่มีการลืม แต่ถ้าให้พ่อ
เป็นคนเตรียม รับประกันอีกเหมือนกันว่าเราจะต้องซื้อของเพิ่มกลางทางอีกมาก การเตรียมข้าวของสำหรับการเดินทาง
เป็นไปอย่างรวดเร็วบ้างช้าบ้างสลับไปมา พ่อกังวลอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องปวดอึ กลัวว่าจะไปปวดบนรถไฟ ซึ่้งถ้าเลือกได้
พ่อจะไม่อึขณะเดินทาง แต่ถ้าอยู่ที่ที่พักก็ถือว่าใช้ได้

เราเดินทางมาถึงสถานนีรถไฟก่อนเวลาเล็กน้อย ทั้งนี้เพราะได้พี่โซ่พี่ริกช่วยขนกระเป๋า ซึ่งเรามีกันสามใบบวกกับรถ
เข็นของผมอีกหนึ่งคัน ทำให้เราสบายขึ้นและก็ได้พี่ทั้งสองที่คอยเล่นกับผมไปตลอดทาง ทำให้ผมไม่รู้สึกหวาดกลัว
อะไรกับการที่ต้องเดินทางในขณะที่ฟ้ายังไม่สว่าง เป็นไปตามคาดที่พ่อเดินทางด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี ไม่ใช่ปวดอึแต่เป็น
เพราะว่าพ่อกังวลว่าจะจำเวลาผิดบ้าง หรือไม่ก็รถไฟแน่นไม่มีที่ว่างสำหรับผมบ้าง พ่อเีริ่มรู้สึกดีขึ้นบ้างเมื่อรู้ว่าพี่ริกก็เป็น
อีกคนที่กลัว passport จะหา พี่ริกคล่ำดูมันแทบทุกๆ ครั้งที่มีคนเอ่ยถึง และเป็นพ่อนั่นเองที่คอยแกล้งพี่ริกไปตลอด
ทาง

เมื่อถึงที่นัดหมาย เราก็ต้องนั่งคอยสมาชิกอีกหลายคนที่บ้านอยู่ไกลกว่าและเวลาในการเดินทางไม่สามารถกำหนด
ได้ขึ้นอยู่กับตารางเดินรถ สิ่งที่ปลดปล่อยพ่อออกจากความกังวลก็เห็นจะเป็นสาวน้อยหน้าแป้น พี่เจิน ที่นั่งเป็นเครื่อง
ยืนยันว่าครอบครัวของเราไม่ได้มาผิดที่ผิดเวลา นั่นทำให้พ่อยิ้มได้ เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ แม้เข็มวินาทีจะทำหน้าที่ของ
มันอย่างซื่อสัตย์ แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะวิ่งเร็วบ้างช้าบ้างในสายตาของพ่อ ผมเองไม่ได้กังวลอะไรได้แต่ส่งยิ้มเล่นกับ
พี่ๆ ตลอดเวลา ตราบใดที่ผมยังได้กลิ่งหอมๆ ของแม่และกลิ่นตุๆ ของพ่อ มันก็ยังทำให้ผมสดชื่นสดใสได้ตลอดเวลา

5/26/2005

เตรียมตัวไปเที่ยวแดนกังหันลม



วันก่อนมีน้องนักเรียนไทยมาหาพ่อกับแม่ เรียกพี่แก๊ปแล้ว
วัตถุประสงค์จริงๆ ของพี่แก๊ปคือเอาซาลาเปาที่ทำเองมา
ให้ (แม่ชอบมาก) แล้วตามมารยาทแม่ก็ชอบถามสารทุกข์
สุขดิบไปเรื่อง จนได้ความว่าอาทิตย์หน้าพี่ๆ เค้าจะไปเที่ยว
แดนกังหันลมกัน แม่ตาโตเท่าไข่หงส์ทันที เพราะความฝัน
หนึ่งของแม่คือได้ไปถ่ายรูปกับดอกทิวลิปที่แดนกังหันลม
นั่นแหละ ผมมองหน้าพ่อแล้วรู้สึกได้ว่าพ่อเป็นกังวลไม่ใช่
น้อย พ่อรู้ว่าแม่ต้องอยากไปแน่ๆ แต่พ่อกลัวเรื่องเงินและ
เรื่องของผม ผมยังเด็กนี่นา

แม่หันมามองพ่อด้วยสายตาวิงวอน พร้อมบอกถึงงบคร่าวๆ
ให้พร้อม นี่ถ้าไม่ถูกหวยก่อนหน้านี้ไม่กี่วันพ่อคงไม่ไปแน่
ถึงกระนั้นผมก็ยังเป็นตัวปัญหาที่ถูกยกขึ้นมาอยู่ดี

เอาเป็นว่าพ่อตอบตกลงไปแล้ว หน้าที่ๆ เหลือของพ่อกับแม่ก็คือต้องเตรียมความพร้อม พ่อต้องรับผิดชอบ
หน้าที่หลายอย่างตั้งแต่นัดน้องๆ ให้มาหาเพื่อจองโรงแรมให้ เพราะพ่อไม่เคยทำมาก่อน ด้วยความไม่เคย
พ่อจึงให้พี่ๆ ทำให้ทั้งหมด สิ่งที่พ่อต้องทำเองก็คือไปจองตั๋วรถไฟ ก็เป็นพี่แก๊ปอีกนั่นแหละที่จดเที่ยวรถ
เวลาและราคาเพื่อให้พ่อไปซื้อได้ไม่ผิด ตอนจองโรงแรมพ่อคงงกเงินมากไปหน่อยจึงเลือกที่ถูกที่สุดและ
สมเหตุผลในความคิดของพ่อมากที่สุด ทั้งที่จริงแล้วควรคำนึงถึงความสบายของผมและแม่เป็นอันดับแรก
ที่ทำให้เราได้ห้องนอนเตียงคู่ และต้องใช้ห้องน้ำรวม ในราคารวมอาหารเช้าคืนละ 80 ยูโร ซึ่งโรงแรมเหล่า
นี้ได้คุณภาพตั้งแต่ 1 ดาวลงไปทั้งสิ้น ซึ่งอันนี้พ่อก็ไม่ได้สนใจดูอีก คงปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา

เราโชคดีนิดหน่อยตรงที่วันที่เราไปจองตั๋วรถไฟ เป็นการจองล่วงหน้าเกินสามวันและวันที่ไปเป็นวันหยุด ทำ
ให้เราได้ตั๋วในราคาลดประมาณ 50% สองคนรวมกันประมาณ 132 ยูโร ออกจะโชคร้ายนิดนึงที่พี่ๆ อีก
5 คนได้จองไปแล้ว ทำให้เราไม่ได้ราคาที่ถูกลงไปอีก (คนละแค่ 40 ยูโร) ถึงกระนั้นก็ยังดี แต่พ่อก็ทำให้
แม่หัวใจเกือบหล่นไปกองที่พื้นอีก คือจำเวลาปิดของที่จองตั๋วรถไฟผิด ก็คือไปถึงมันก็ปิดไปแล้ว และวันนี้
เป็นวันสุดท้ายที่จะเป็นวันล่วงหน้า 3 วัน พ่อกับแม่และผมเดินคอตก และกำลังตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะมา
ใหม่ (พ่อคิดว่าไหนๆ ก็สายแล้วก็มามันตอนเย็นก็ไม่เป็นไรและคิดว่าซื้อตั๋วแพงก็ได้) ขณะที่เดินกลับมาได้
ครึ่งทางแล้วพ่อก็โทรถามพี่แก๊ปอีกว่ามีทางอื่นอีกไหม พี่แก๊ปแนะให้ซื้อจากตู้ (ตกลงพ่อไม่รู้อะไรเลยตาม
เคย) ระยะทางเกือบครึ่งกิโลทำให้แม่อิดออดนิดหน่อยในการเดินกลับไปที่เดิม พ่อแสดงอาการว่าถ้าแม่ไม่
ไปพ่อไปคนเดียวก็ได้ แม่ก็รอตรงนี้พร้อมลูก

ในที่สุดแม่ก็ยอมไปด้วย และนับเป็นโชคดีที่ถ้าแม่ไม่ไป รับประกันได้ว่าพ่อกดตู้ไม่ถูกแน่นอน และแล้วเรา
ก็ได้ตั๋วมา สิ่งที่เราต้องเตรียมเพิ่มในวันนั้นก็คือ นมพร้อมดื่มสำหรับทารก ที่เพียงพอสำหรับผมในการผจญ
ภัยในโลกกว้างสามวัน และพ่อก็ต้องกดเงินไปอีก 400 ยูโร เพื่อเป็นเงินสดติดตัวสำหรับไปเที่ยวสามวัน

5/18/2005

เมื่อหมาอ้วนโดนฉีดยา 2



ผมถูกจับนอนในรถเข็นคันโตสีน้ำเงินเข้มออกจากบ้านแต่เช้าตรู่
พ่อเองยังดูง่วงๆ ซึมๆ อยู่ แต่ด้วยภาระอันใหญ่หลวงที่ต้องทำให้
ผม ทำให้พ่อไม่เคยพลาดที่จะตื่นมาช่วยแม่ดูแลแต่งตัวให้ผม
บอกได้เลยว่าปกติแล้วพ่อเป็นคนเฉื่อยแฉะมากๆ

รถเข็นของผมถูกเข็นผ่านถนนที่ไม่รู้ว่ามีอายุกี่ร้อยปี ลักษณะก็
คล้ายถนนเก่าแก่หลายๆ แห่งในยุโรปแทนที่จะฉาบปูนหรือราด
ยางมะตอยเรียบๆ กลับคงอนุรักษ์ไว้ให้เป็นถนนที่ทำจากก้อนหิน
ที่วางต่อๆ กัน ข้อเสียของมันก็คือมันทำให้หัวผมกระดอนตาม
การขยับขึ้นลงของล้อรถเข็นยามที่มันตกลงไปร่องหินแล้วถูกพ่อดันขึ้นมา เมื่อก่อนพ่อไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ วางผมบน
รถแล้วๆ กัน ก่อนที่หัวผมจะบี้แบนมากไปกว่าที่เป็นอยู่นี้ พ่อก็รู้แล้วเอาหมอนมารองหัวผมก่อนที่จะเข็นผมผ่านถนน
โลกพระจันทร์ นานๆ เข้าก็เลยเอาหมอนดังกล่าวทิ้งไว้บนรถซะเลย

วันนี้ผมจะไปฉีดยาเข็มแรก ซึ่งถ้าอยู่ประเทศโลกที่สาม หรือประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่าเยอรมันอย่างเช่น
อังกฤษ หรือลิเบีย ผมก็คงถูกฉีดยาเข็มแรกไปตั้งแต่วันแรกๆ ที่ลืมตาได้แล้ว หัวข้อนี้ถูกยกขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนา
ยามเช้าแทนการกินกาแฟของพ่อกับเพื่อนชาวลิเบีย เพื่อนพ่อชาวลิเบียคนนี้ก็พึ่งมีลูกสาวที่มีอายุห่างจากผมไม่ถึง
สามเดือนเช่นกัน ด้วยความเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบแต่ก็ไม่ยอมให้เปรียบใครเหมือนกัน ลุงลิเบียก็เลยถามถึง
เรื่องการฉีดวัคซีนกับพ่อมิได้ขาด พ่อก็บอกตามนิสัยว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่เดี๋ยวหมอก็บอกเองหล่ะว่าต้องฉีดแล้วนะ
แต่ลุงลิเบียไม่ยอมหยุดง่ายๆ ด้วยเหตุผลข้างต้นว่า 90% ของประเทศในโลกใบนี้ล้วนแต่ฉีดวัคซีนให้เด็กแรกเกิด
ทั้งนั้น แต่ผมปาเข้าไปสองเดือนกว่าแล้ว ยังไม่พบว่ามีเข็มที่ยาวเกินหนึ่งเซนติเมตรเล่มไหนทะลุผ่านหนังกำพร้าไป
ได้เลย ความกังวลของลุงลิเบียนี้ได้ไปสร้างความลำบากให้กับย่าเยอรมันอย่างมาก เพราะเธอถูกร้องขอให้หาข้อ
มูลเรื่องนี้ให้ทั้งเช้าและเย็น ยกเว้นวันหยุด

จริงๆ แล้วพ่อก็ไม่สนหรอก ด้วยเชื่อมั่นเสมอว่าเดี๋ยวหมอก็ฉีดให้เองแหละน่า นี่ถ้าไม่ใช่ย่าเยอรมันกับแม่มีชะตา
ต้องกันมาตั้งแต่สุโขทัยเริ่มสร้างชาติหล่ะก็ ป่านนี้ผมอาจจะยังไม่ได้รับเชื้อโรคอ่อนแรงใดๆ เข้าไปในร่างกายเลย

เย็นวันหนึ่งแม่เดินยิ้มเข้าไปที่ห้องทำงานของพ่อ พร้อมกับแจ้งข้อมูลที่คนวงในเท่านั้นที่จะรู้ ชาวบ้านร้านตลาดรับ
รองได้ว่าไม่มีทางได้ยินถึงหูแน่ ข่าวนั้นแม่ได้มาจากย่าเยอรมัน ก็ไม่ใช่เรื่องอื่นคือเรื่องฉีดวัคซีนนั่นเอง ย่าผมถูก
ลุงลิเบียร้องขอให้หาข้อมูลให้ ที่นี่ก็แปลกจะฉีดวัคซีนให้เด็กก็หลังสองขวบไปแล้ว และจะไม่ฉีดหรือบอกข้อมูลให้
ถ้าไม่ได้ถูกร้องขอจากผู้ปกครอง (ที่เยอรมันคนที่อยู่นานๆ จะรู้เองว่าถ้าไม่ถามจะไม่บอกไม่ว่าเรื่องนั้นจะสำคัญ
ขนาดไหน) แม่ชี้ให้พ่อดูถึงตารางการฉีดวัคซีนซึ่งต้องถกกันเล็กน้อยเพราะเป็นภาษาของย่าไม่ใช่ของแม่ เอาเป็น
ว่าตอนที่รู้ข้อมูลนี้ผมก็สามเดือนแล้ว ดีที่ไม่เป็นอะไรไปซะก่อน

เมื่อรถเข็นยี่ห้อแพงแต่เก่าของผมถูกเข็นมาถึงโรงหมอแล้ว หมอที่รับฉีดยาและตรวจสุขภาพตามตารางเวลานี้ดู
หน้าตาจะแปลกไป สาวขึ้นและดูอารมณ์ดีขึ้น ก็ไม่แปลกเพราะไม่ใช่ยายหมอแล้วแต่เป็นป้าหมอ ป้าหมอเซ้งร้าน
หมอเด็ก 1 ใน 2 ของร้านหมอเด็กที่เมืองที่ผมอยู่จากยายหมอ เธอดูดีแต่แก่ไปหน่อยพ่อบอก หลังจากที่ผมถูก
ตรวจสิ่งที่เรียกว่า U4 ไปแล้วนั้น หมอก็เริ่มขบวนการฉีดวัคซีนให้ผม โดยการไปนำวัคซีนมา แล้วอธิบายให้แม่
ทราบถึงตัววัคซีนที่รวมอยู่ในเข็มเดียว พ่อก็ฟังอยู่ด้วยแต่ไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่าเหมือนเมืองไทยยกเว้นไม่มีการฉีด
ป้องกันวัณโรค (เยอรมันปลอดวัณโรคแล้ว และจะอนุญาตให้ฉีดวัคซีนสำหรับโรคนี้ได้หลังจากอายุั 18 ปี) อีกนั่น
แหละเรารู้เพราะว่าแม่ถาม

หมอสาวใหญ่จับผมขึง กางแขนกางขาในขณะที่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปยังไม่ได้ถูกถอดออก แต่เสื้อและกางเกงไม่มี
แล้ว นอกจากนั้นยังมีสาวน้อยน่ารักกางเกงเอวต่ำสีขาวบางใสมาคอยช่วยอีกแรง ผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่สงสัย
อยู่เพราะพ่อบอกว่าที่พ่อเคยเห็นน่ะ เค้าจะให้พ่อแม่อุ้มแล้วฉีดที่ตูด แต่นี่จับผมขึงทำไมกัน หมอสาวคงรู้ดีถึง
ความสงสัยนี้ เธอเลยจับหน้าโคนขาข้างขวา(หรือซ้ายหว่า) ของผมแล้วหัวเราะพร้อมกับบอกว่า ที่เยอรมันเราทำ
กันตรงนี้นะ ว่าแล้วเธอก็จับเข็มในท่าปาลูกดอก แล้วก็จิ้มจึกลงบนหน้าขาผม ซึ่งตรงนี้ผมรู้ดีว่าหมอไม่ได้ใจร้าย
หรอกที่จิ้มแรงอย่างนั้น แต่ตามตำราเค้าบอกว่าให้จิ้มลึกๆ ไม่งั้นมันจะเป็นไตแข็งสร้างความเจ็บปวดให้เด็กน้อย
อย่างผมได้ พ่อกับแม่รู้สึกตกใจไม่ใช่น้อยที่เมื่อผมถูกจิ้มจึกแล้วไม่ยักกับร้อง ผมไร้ความรู้สึกหรืออย่างไรเนี่ย
เพื่อสร้างความงุนงงยิ่งขึ้นผมก็ยิ้มซะเลย เมื่อหมอรู้สึกว่าเข็มเข้าที่เข้าทางแล้วก็บรรจงกดนิ้วโปงเพื่อดันให้วัคซีน
ไหลเข้าไปในสายโลหิตของผม ได้ผลผมร้องจ๊ากแล้วมองหน้าหมออย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าหมอที่น่ารัก
จะทำผมได้ลงคอ แง แง ไม่ได้ผล หมอก็หัวเราะชอบใจหน้าระรื่น แล้วก็แปะพลาสเตอร์อันเล็กๆ ตรงรอยแผล

ตามธรรมดาหลังฉีดวัคซีน ย่อมต้องมีผลข้างเคียง กล่าวคือผมอาจจะเป็นไข้ก็ได้ ดังนั้นควรจะได้รับการดูแลเป็น
พิเศษ พ่อก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่าต้องดูแลอะไรผมเป็นพิเศษหรือเปล่า หมอสาวยิ้มพร้อมกับทำหน้าฉงนว่า
ต้องด้วยเหรอ พ่อก็เลยบอกว่ากลัวว่าจะเป็นไข้น่ะ หมอก็ถึงบางอ้อตอบเป็นภาษาอังกฤษว่า อืม ก็ไม่ต้องดูแล
พิเศษอะไร แค่ระวังอย่าให้ผมหนีไปว่ายน้ำเล่นก็แล้วกัน

4/27/2005

เมื่อหมาอ้วนโดยฉีดยา 1


แผ่นดินที่ผมเกิดกับแผ่นดินที่แม่เกิด ถึงแม้ว่าจะเป็นพื้นดินที่ต่อกันจากทวีป
หนึ่งสู่อีกทวีปหนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตความเป็นอยู่ของผมกับ
ของแม่ตอนแรกเกิดจะเหมือนกัน สิ่งหนึ่งที่แตกต่างกันค่อนข้างมากก็คือเรื่อง
ระบบสาธารณสุข ว่ากันว่าหลายๆ ประเทศในยุโรปติดอันดับยอดแย่ โดย
เฉพาะที่อังกฤษ พ่อเล่าว่าคุณยายหลายคนรอหมอนัดตายด้วยโรคชราไปก่อน
ที่จะตายด้วยโรคร้าย ในขณะที่เด็กแขนหักบางคนรอคิวสองสามชั่วโมงเพื่อ
รอเข้าเฝือก ส่วนที่เยอรมันจำได้ว่าตอนแม่ไปคลอดผม เจ้าหน้าที่จะถามคน
ไข้คำถามแรกเลยว่าบัตรประกันสุขภาพอยู่ไหน แทนที่จะถามว่าเป็นอะไร
เศรษฐีสามีของเพื่อนห่างๆ ของแม่เล่าว่าโรงพยาบาลไม่ยอมรับเค้าเข้ารักษา
ด้วยเหตุผลที่ว่าเค้าต้องการจ่ายเงินสด แทนที่จะจ่ายเงินผ่านประกัน คุณย่า
เยอรมันก็เคยบ่นเรื่องนี้ให้พ่อฟังว่า หมอมีหน้าที่รักษาคนไข้ก็ควรจะรับคนไข้
เข้าไปรักษาก่อนที่จะถามถึงเรื่องเงิน เรื่องนี้หมอไทยดีกว่ามากโขทั้งด้านฝีมือ
และมนุษยธรรม แม่เคยเล่าว่ากรรมกรสามีทิ้งป่วยเป็นมะเร็ง หมอที่แม่รู้จักยินดี
รักษาให้ฟรี แถมยังให้เงินส่วนหนึ่งเพื่อเป็นค่ารถในการมาหาหมอครั้งต่อไป
ด้วย แม่พูดไปน้ำตาไหลทุกที แต่ผมก็ฟังเรื่องนี้หลายครั้งเหมือนกัน

เรื่องนี้พ่อก็อดโกรธยายหมอไม่ได้อยู่เหมือนกัน เพราะยายหมอชอบพูดว่าถ้าผมเป็นอะไรเจ็บปวดอะไรก็ให้ไปหา โดย
ไม่ต้องนัดก่อน แม่ก็ดีใจที่มีหมอใจดีคอยเอาใจใส่ผม จะด้วยความเป็นห่วงพิเศษหรืออะไรก็แล้วแต่ยายหมอจะตรวจ
ผมเกิดอาการเสมอ เช่นการตรวจพัฒนาการของเด็ก ซึ่งจะมีตารางชัดเจนอยู่แล้ว แต่ยายหมอจะชอบตรวจทุกครั้งที่ไป
เจอผม แม่ก็ดีใจและคิดว่าหมอเอาใจใส่ แต่ในใบเรียกเก็บเงินซึ่งแสนแพง แพงจนอดคิดไม่ได้ว่าหมอตรวจสามครั้งรวม
กันไม่ถึง 10 นาที ทำไมค่ารักษาถึงปาเข้าไปเกือบสองร้อยยูโรด้วย จริงอยู่เราสามารถเบิกเงินประกันสุขภาพได้ แต่
่เนื่องจากประกันของเราเป็นประกันราคานักศึกษา คือจ่ายถูกแต่ต้องออกเงินไปก่อนแล้วเรียกเก็บที่หลัง นั่นหมายความ
ว่าเดือนไหนถ้าเราวางแผนไม่ดีแล้วมีใบเรียกเก็บเงินเข้ามาเยอะๆ เราก็จะมีปัญหาทางการเงินทันที

ในยุโรปเด็กแรกเกิดอย่างผมก็ต้องวิตามินดีเม็ด วันละหนึ่งเม็ดทุกๆ วัน ไปจนครบหนึ่งขวบ ไม่เช่นนั้นแล้วเด็กอาจจะมี
กระดูกไม่แข็งแรงพอที่จะเตะคนกวนตีน นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งทำให้แม่ช็อกไปพักใหญ่ และเรื่องนี้นำมาซึ่งปัญหา
เพราะว่าแรกๆ พ่อต้องเอายาเม็ดละลายในนมขวด บางครั้งนมก็ไม่หมด เก็บเกิน 6 ชั่วโมงก็ไม่ได้ เม็ดยาซึ่งละลายไม่
หมดก็จะอุดตันรูจุกนมอีก ปัญหาเยอะมาก พ่อแก้ด้วยการบดยาด้วยช้อนก่อนละลายในนม ซึ่งนั้นก็แก้ปัญหาได้นิด
หน่อย ปัญหานี้เริ่มรุกรามใหญ่โตมากขึ้นจนพ่อต้องเอาไปปรึกษากับอาจารย์คางบุ๋มสุดหล่อของแม่ อาจารย์เล่าว่าตอน
ลูกสาวเค้าเกิดที่อังกฤษก็ต้องกินยาวิเศษนี้ไปจนหนึ่งขวบเหมือนกัน แล้วทำไงหล่ะยาเม็ดนะจารย์ พ่อถามอย่างต้อง
การคำตอบ อาจารย์หัวเราะแล้วบอกว่าก็ใช้ช้อนเดะ ละลายยาบนช้อนแล้วยัดปากลูกไปเลยง่ายนิดเดียว ได้ผลตั้งแต่
นั้นมาเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ผมจะต้องร้องกินยาวิเศษนี้เสมอ

เรื่องกินวิตามินดีนี้กลายเป็นเรื่องเล่าให้ใครต่อใครฟังไปอีกครั้งทีเดียว ไม่ว่าเจอหน้าใครแม่ก็เล่าเรื่องนี้ จริงอยู่วิตามินดี
ร่างกายสามารถสร้างเองได้ แต่ทีเมืองตอนเหนือของเยอรมันแห่งนี้ บางทีแสงแดดอาจจะมีค่ายิ่งกว่าทองเสียอีก แสง
ส่วนใหญ่ของที่นี่ส่วนใหญ่เป็นแสงสลัวๆ ไม่เหมาะแก่การเพาะวิตามินดีโดยสิ้นเชิง นี่เป็นเหตุผลที่หมอย้ำว่าห้ามเว้นเกิน
7 วันนะ

4/19/2005

ไม่ได้บวชแค่โกนผมไฟ



โบราณว่าไว้ว่าถ้ายังมีไฟอยู่ผมจะร้องกวนและไม่โต ป้าหลอด
แม่บ้านไทยนั่งยันยืนยันว่าที่ผมร้องกวนทุกคืนเป็นผลมาจาก
การที่ยังไม่โกนผมไฟ ที่จริงแล้วผมโดนตัดปอยผมไปแล้วหนึ่ง
ปอยตอนครบเดือน และยังเก็บเอาไว้อย่างดีพร้อมกับซากสาย
สะดือ(ใครไม่เคยเห็นสายสะดือแห้งก็มาขอดูได้) ซึ่งตอนนั้นพ่อ
ทำอีท่าไหนไม่รู้ หรือเป็นเพราะว่าผมดิ้นมากไปหน่อย พ่อก็เลย
ตัดหูผมเกือบขาดไปเลย จำได้ว่าตอนนั้นพ่อเอากรรไกรสำหรับ
ตัดเล็บเด็กมาตัดผมผม ซึ่งกรรไกรมันไม่ค่อยคม ผมก็ไม่ชอบ
อยู่นิ่งดิ้นไปดิ้นมา แทนที่พ่อจะได้ปอยผมของผมไปก็ได้ฝาก
รอยห้อเลือดไว้ที่หูผมแทน ตั้งแต่ครั้งนั้นพ่อก็ไม่กล้าตัดปอยผมผมอีกเลย จนมาป้าหลอดนี่แหละทักว่าทำไมห้องนอน
ผมถึงได้เปิดไฟ แม่ก็บอกว่าที่ต้องเปิดเพราะว่าถ้าผิดผมจะไม่นอน ป้าหลอดเลยยืนยันว่าต้องโกนผมไฟผม หลังจากวัน
นั้นพ่อก็เตรียมการและนัดวันเวลากับแม่สำหรับโกนผมไฟผมนั่นแหละ

มีดโกนหนวดของพ่อถูกเปลี่ยนเป็นมีดโกนผม พ่อเปลี่ยนใบมีดใหม่เพื่อให้มั่นใจว่ามันคมพอและเพื่อไม่ให้ขั้นตอนการ
โกนมันนานเกินไป พ่อถูกเลือกเป็นผู้โกนอย่างไม่มีข้อขัดแย้ง เพราะพ่อเป็นคนใจเย็นคนเดียวในบ้านโดยนับผมเข้าไป
ด้วย โบราณกำหนดไว้ว่าคนโกนผมไฟเด็กต้องคนใจเย็นเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สมเหตุผลทีเดียว เพราะขืนให้คนใจไม่
เย็นโกน หัวผมก็กลายเป็นแผนที่ไปนะสิ

พ่อแนบมีดโกนหนวดยี่ห้อที่มีนักฟุตบอลดังเป็นนายแบบโฆษณาให้บนศรีษะผม โดยเริ่มจากข้างหลัง พ่อเริ่มโดยการ
แนบมีโกนลงเบาๆ ก่อน เลื่อนมีดลง แรกๆ ดูจะไม่ชำนานนักและยังดูกลัวๆ กล้าๆ เนื่องจากไม่รู้ว่าหนังหัวผมจะทนต่อ
การขูดขีดได้มากน้อยแค่ไหน ในใจพ่อนอกจากจะกลัวว่าหัวผมจะเป็นแผลแล้ว ยังกลัวไปอีกว่าถ้าเป็นแผลใหญ่ผมจะ
ไม่ขึ้น เดี๋ยวหมดหล่อเอา

ผมของเด็กแรกเกิดอย่างผมค่อนข้างจะเนียนนุ่มน่าจับ อย่างนี้นี่เองที่เค้าเรียกว่าผมไฟ ซึ่งมันไม่ใช่ผมที่แท้จริง ถ้าไม่
โกนออกผมที่แท้จริงก็จะไม่ขึ้น จะว่าไปแล้วผมกับขนที่อยู่ตามตัวของผมว่างเหมือนกันอะไรอย่างนี้ ขนที่อยู่ตามตัว
ของผมนั้นเป็นขนที่ยังไม่ร่วงเนื่องจากผมเกิดก่อนกำหนด ขนที่ว่านี้มีไว้เพื่อลดแรงเสียดทานระหว่างตัวผมกับผนังรก
ซึ่งมันจะอ่อนนุ่มน่าจับมาก ผมของผมก็เหมือนกัน พ่อโกนไปทีก็ดึงผมของผมออกทีหนึ่ง เริ่มต้นก็ไปอย่างช้าๆ ไม่
ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ พอเวลาผ่านไปพ่อชักมันเริ่มโกนด้วยความรวดเร็วแต่ก็ยังใ้ช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด เนื่อง
จากผมนั้นไม่ค่อยอยู่เฉยๆ ให้โกนเท่าไหร่นัก ยังดีที่น้ำหนักตัวผมยังน้อยอยู่ พ่อไม่พบกับความยากลำบากในการอุ้ม
ผมเป็นเวลานาน แม่เองก็คอยลุ้นอยู่ห่างๆ

จุดที่ยากที่สุดในการโกนผมไฟก็คือกระหม่อม เพราะส่วนนี้นอกจากบางและยังนุ่มอีกด้วย แม่ซึ่งมีความรู้เรื่องร่างกาย
ดีมากเคยบอกพ่อว่า พ่อไม่เคยเห็นชีพจรเต้นตรงกระหม่อมลูกเหรอ นั่นแสดงให้เห็นว่าส่วนนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ นอก
จากความอ่อนนุ่มตรงบริเวณนั้นแล้ว ที่เป็นปัญหาคือขี้หัวหรือผิวที่มันแห้งเนื่องจากความหนาวเย็น ช่วงก่อนโกนหัวผม
นั้นตรงกระหม่อมของผมเป็นโรคผิวหนังแห้ง ต้องทายาอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการแห้งของผิว พ่อเองก็กลัวว่าการขูด
หนังแห้งตรงนั้นออกมันจะทำให้เกิดแผลได้ สรุปก็คือมันยากเป็นสามเท่าของส่วนอื่น นอกจากจะกดมีดโกนลงไปแรง
ๆ ไม่ได้แล้ว ยังต้องระวังเรื่องการขูดขี้หัวอีก และผมยังไม่ชอบให้โกนบริเวณนั้นอีก ยังไม่พอบริเวณกระหม่อมดังเป็น
ส่วนสุดท้ายที่พ่อจะโกน โดยเหตุผลที่ว่ามันเป็นส่วนที่อันตรายดังนั้นต้องฝึกให้ชำนาญก่อน พ่อจึงเลือกโกนบริเวณนี้
หลังสุด

เอาเป็นว่าเวลาผ่านไปได้สองชั่วโมง ผมของผมส่วนใหญ่ก็หายไปจากหัวซะแล้ว พ่อจึงให้โอกาสผมได้หยุดพักทาน
นมให้สบายอารมณก่อน รอบที่สองนี้นอกจากจะยากขึ้นเพราะเป็นการเก็บรายละเอียดแล้ว ผมยังง่วงนอนงอแงอีก
ด้วย แต่พ่อก็ชำนาญขึ้นมาก จึงไม่มีปัญหาเท่าไหร่ มีเรื่องน่าตลกเกิดขึ้นในการโกนผมที่ท้ายทอย พ่อลองโกนแบบ
สวนทางดูบ้าง ซึ่งน่าจะให้ผลดีกว่าแบบตามเส้นผม ปรากฏว่าก็ดีขึ้นแต่โกนไปโกนมา หัวผมปรากฎพื้นที่สีแดงอยู่สอง
หย่อม พ่อมองหน้าแม่แล้วทำหน้าวิงวอน แม่ก็ไม่ว่าอะไรของอย่างนี้มันพลาดกันได้แต่ก็ทำให้พ่อเสียความมั่นใจไป
ไ่ม่ใช่น้อย พ่อก็เลยรีบๆ โกนให้เสร็จๆ ไม่แต่งหรือเล่นอะไรตามนิสัยอีก ต่อมาอีกหลายเดือนพื้นที่สีแดงก็ไม่หายไป
เสียที ทั้งๆ ที่ทายาแล้วทาอีก พี่แขกเจ้าของร้านไทยเป็นคนเฉลยว่าที่จริงมันคือปานแดง โธ่พ่อฉัน

หลังจากโกนหัวเสร็จ ผลประโยชน์ที่หมาอ้วนได้รับมีอยู่เยอะเหมือนกันดังนี้
  1. เนื่องจากหัวมันสาก ทำให้หลังจากโกนผมแล้วหมวกของผมจะกระชับมากขึ้นไม่หลุดง่ายอีกเลย
  2. ขี้หัวเมื่อถูกลอกออก มันก็ไม่กลับขึ้นมาให้เห็นบ่อยๆ อีกแล้ว ถ้ามีหลังจากสระผมมันก็ไม่กลับมาอีก
  3. ผมหล่อขึ้นเป็นกอง เพราะต้องใส่หมวกตลอด เผอิญเป็นคนใส่หมวกขึ้น
*โปรดติดตามตอนพิเศษเร็วๆ นี้ ตอน "หมาอ้วนตะลุยแดนกังหันลม" อีกประมาณ 2-3 ตอนครับ
ตอนหน้าเตรียมตัวพบกับตอน "เมื่อหมาอ้วนโดนฉีดยา"

4/05/2005

ไม่ได้ต่อสู่อย่างโดดเดี่ยว



ผมไม่ได้เป็นเด็กที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ถึงจะตัวเล็กแต่ก็สู้ไม่ถอยอยู่
แล้ว มีพ่ออยู่ด้วยไม่ต้องกลัวอะไรในโลกนี้ ยกเว้นแม่คนเดียว ก็
พ่อยังสู้ไม่ได้เลยนี่นา

เป็นอันว่าชีวิตหลังสองอาทิตย์ผมต้องเจ็บตัวเป็นว่าเล่น อาการปวด
ท้องที่ว่านี้เหมือนมันมีนาฬิกาปลุก พอได้เวลาก็ระเบิดตูมตามออก
มา พ่อกับแม่ไม่ได้นิ่งนอนใจ เที่ยวไปเสาะหาสรรพยาจากที่ต่างๆ
ซึ่งต่อให้เป็น หนวดเหา เขากระต่าย หรืออะไรที่ยากยิ่งกว่ายาก พ่อ
ก็จะหามาให้ หาอยู่นานไม่เจออะไรเลย เป็นแม่เองที่ไปได้ยา
มหัศจรรย์ ที่ว่ามหัศจรรย์นี้ก็เพราะว่ายาดังกล่าวเป็นยาแผนไทย และเด็กสัญชาติไทยมากกว่า 80 ตัวอย่างจากร้อย จะ
ต้องได้สัมผัสกับมัน ยาที่ว่าไม่ใช่ใดอื่นก็คือ มหาหิงค์ นั่นเอง ยาอะไรก็ไม่รู้ทั้งดำทั้งเหม็น แต่ก็ยังใช้ทาให้กับผิวใสๆ
ของเด็กน้อยอย่างผมอีก

ซึ่งก่อนนอนผมก็จะถูกทาด้วยเ้จ้ายาที่ว่านี้ จะด้วยเห็นบังเอิญหรืออุปทานของพ่อก็ไม่รู้ เหมือนกับว่าตัวยามันจะซึมเข้า
สู่ผิวหน้าท้องของผมแล้วตรงเข้าไปจัดการกับเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นอย่างทันทีทันใด แต่ความจริงก็เป็นความจริงอยู่วัน
ยังค่ำ เมื่อใดก็ตามที่อุปทานมันหายไป อาการปวดท้องผมก็ปรากฎขึ้นมาอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไปไม่มีหยุดหย่อนจนพ่อ
กับแม่แปลงร่างกลายเป็นตัวประหลาดตาดำกันหมดแล้ว

วิธีการแก้ไขเรื่องอาการปวดท้องของผมนั้น นอกจากมหาหิงค์ซึ่งสำหรับผมแล้วไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ในระยะยาว
เพียงแต่ช่วยบรรเทาอาการปวดให้ลดลงไปเท่านั้น เมื่อไปพบยายหมอเพื่อสอบถามถึงวิธีรักษา ผมได้ใบสั่งยามาสอง
อย่าง ยาตัวแรกจะเรียกว่ายาก็ไม่เชิงทีเดียว มันคือชาสำหรับเด็ก (หลายประเทศเค้าบ้าชากันมาก มีชาหลากหลาย
จนนับไม่ถ้วน) กับยาเหน็บตูด ชานั้นช่วยลดอาการท้องอืดได้ดีทีเดียว ส่วนยาเหน็บตูดนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามัน
ช่วยอะไรได้จริงหรือเปล่า แต่สำหรับพ่อผู้ไม่ชำนาญในการเหน็บตูดใครนอกจากตูดตัวเองเวลาเป็นริดสีดวงแล้ว มัน
ช่างอืดอาดยืดยาดเสียจริง ก็ถ้าผู้เหน็บไม่ทำโดยเร็วชักเข้าชักออกแ้ล้วหล่ะก็ ผู้ถูกเหน็บก็ต้องเจ็บปวดมากขึ้นเป็น
ธรรมดา คงด้วยเห็นผลนี้กระมังที่มันแก้อาการปวดท้องของผมได้ชะงักนัก ก็ไม่อยากเจ็บอีกนี่นา

แต่อาการปวดท้องก็ยังคงมีทุกคืนอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้แต่วันหยุดประจำปี ซาเดียเพื่้อนข้างห้องของพ่อ ได้นำ
เสนอตัวชาของชาวปากีสถาน ซึ่งคงคุณค่ามายาวนานหลายร้อยปี ด้วยตัวชานี้เองที่ทำให้เด็กชาวปากีสถานหลายล้าน
คนรอดพ้นจากอาการปวดท้องที่ว่า พ่อไม่รีรอที่จะรับความมีน้ำใจนั้นและจัดการชงให้ผมทันที นอกจากชาต่าง-
ประเทศแล้ว พ่อยังจัดการเปลี่ยนนมให้ผม เพราะนมยี่ห้อเดิม(ยี่ห้อที่มีนกป้อนหนอนลูก)นั้นไปทำอีท่าไหนก็ไม่รู้ทำ
ให้พ่อเห็นนมเป็นแพะไปได้ พ่อจัดการเปลี่ยนจากนมยี่ห้อต่างประเทศมาเป็นนมยี่ห้อในประเทศเยอรมัน ยี่ห้อนี้มีชื่อ
คล้ายๆ กับโรคไขสมองชนิดหนึ่งซึ่งไม่บังคับให้เด็กต้องฉีดวัคซีนป้องกัน แน่นอนการเปลี่ยนนมก็ไม่มั่นใจว่าจะแก้
ปัญหาได้หรือไม่ แต่ปัญหาใหม่ที่พบคือ น้ำนมมันข้นขึ้น และละลายยากขึ้น แต่นมแม่ยังหอมหวานเหมือนเดิม เอะ
และผมต้องกินมันทุกวัน

ผมกินชาและเปลี่ยนนมขวดได้ไม่กี่วัน อาการก็ดีขึ้นอย่างทันตาเห็น ผมไม่ตื่นมาร้องไห้ระงมกลางดึกบ่อยๆ แล้ว
พ่อกับแม่ดีใจมาก พ่อก็ยังเชื่อว่าเป็นที่ชาต่างประเทศ และไม่นานพ่อก็ทนต่อปัญหาที่นมละลายน้ำยากไม่ไหว จึง
เปลี่ยนนมกลับมาเป็นยี่ห้อเดิม แต่มันก็นานเกินไปสำหรับการพิสูจน์ว่าผมหายปวดท้องเนี่ยเพราะเปลี่ยนนมหรือกิน
ชากันแน่ แต่ที่แน่ๆ ยาเหน็บตูดนอกจากจะช่วยให้หายปวดท้องแล้วยังเป็นยาระบายอ่อนๆ ด้วย เหน็บที่ไรอึไหลทุก
ทีไป

ช่วงเด็กๆ ผมมีเหตุผลในการไปหาหมอหลายอย่าง แล้วจะมาเล่าให้ฟังตอนหน้าว่ามีอะไรบ้าง อยากรู้ใช่ไหมหล่ะว่า
เวลาผมถูกฉีดก้นผมจะร้องหรือเปล่า

3/29/2005

ปวดท้องแล้วร้องไห้


พ่อกับแม่นอนแล้ว แต่เจ้าปีศาจร้ายตัวนั้นยังไม่หลับ ตอนนี้มันเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง
นาฬิกาตอนนี้เข็มสั้นเข้าใกล้เลขสองเข้าไปทุกขณะ ผมอดตื่นเต้นไม่ได้กับการที่จะได้เจอ
มันอีก แน่นอนการต่อสู้กับมันครั้งนี้ผมต้องชนะโดยไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ จาก
พ่อและแม่ บรรยากาศยามค่ำคืนที่เงียบสงบบวกกับกระแสลมเย็นที่เล็ดลอดเข้ามาจากนอก
หน้าต่างช่างเป็นใจกับการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้เสียจริงๆ

และแล้วเข็มยาวของนาฬิกาเรือนเดียวบนฝาผนังก็เคลื่อนตัวเข้าสู่เลขสิบสอง เจ้าปีศาจ
ร้ายไม่รอให้ผมตั้งตัว มันเริ่มพลิกตัวไปมาเป็นการเริ่มต้น ผมสะดุ้งเฮือกแต่ยังๆ ยังไม่มี
ความเจ็บปวดใดๆ เกิดขึ้นกับผม ผมจำต้องบิดตัวเพื่อให้อยู่ในท่าที่สบายและเตรียมพร้อม
เสมอ ยังมิทันที่ผมจะได้ตั้งท่า เจ้าปีศาจร้ายซึ่งเจนจัดในการต่อสู้ก็ไม่รีรอให้ผมตั้งท่า มัน
สบับหัวและหางซึ่งเต็มไปด้วยหนามแหลมหลายร้อยหลายพันเล่ม เป้าหมายคือท้องของ
ผม "แอะ แอะ" ผมทำได้ก็เพียงแต่ร้องเบาๆ ออกมาสองคำ พยายามสะกดกลั้นความเจ็บ
ปวดเพื่อไม่ให้มีเสียงร้องไปทำให้พ่อและแม่ตื่น ผมสบัดแขนขึ้นเหนือหัวสุดแรงเกิดครั้ง
แล้วครั้งเล่า แต่ป่วยกาลเจ้าสัตว์ร้ายมิเพียงแต่ไม่เป็นอะไร มันยังอาศัยช่องโหว่ของผม
ปล่อยหนามแหลมหลายร้อยหลายพันเล่มโจมตีท้องผมไม่หยุดหย่อน

"แว้ แว้ แว้ ... แว้ก แว้ก แว้ก" ไม่ไหวแล้ว พ่อแม่ช่วยด้วย น้ำตาลูกผู้ชายของผมไหลเ่อ่อ
ร่างกายสุดที่จะทนทานต่อไปไหวแล้ว มันทรมานเหลือเกิน

เสียงพ่อกับแม่คุยกัน ในขณะที่ผมยังคงดิ้นทุรนทุรายต่อไป พ่อจับผมคว่ำหน้าลงกับท่อน
แขนข้างซ้าย มือขวาก็ตบหลังผมเบาๆ สลับกับการบีบนวดที่ท้องผม เจ้าปีศาจดิ้นทุรน
ทุรายพร้อมกับกำลังที่ลดลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็หมดแรงและสงบนิ่งลง เป็นอันว่า
การต่อสู้ของผมกับมันในวันนี้จบลงที่พ่อผมเป็นผู้ชนะ

3/22/2005

ชีวิตสองอาทิตย์แรก

หลังจากกลับถึงบ้าน ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบ มีปานปรากฎขึ้นที่แก้มผม ซึ่งพ่อกับแม่ไม่ค่อยสบาย
ใจเรื่องนี้นัก กลัวมันใหญ่ขึ้น แล้วจะเป็นปมสำหรับผมตอนโต แต่การมีปานนี้ยายหมอเยอรมันดีใจนัก
หนา บอกว่าเป็นจุดบอกว่าเป็นผมน่ะ อีกเรื่องหนึ่งก็คือตัวผมค่อนข้างคล้ำ ซึ้งแรกๆ พ่อกับแม่ก็ไม่ค่อย
ชอบใจซักเท่าไหร่ ก็ธรรมดาคนไทย ที่อยากให้ลูกออกมาขาวอวบ เอาเป็นว่าช่วงแรกนอกจากจะผอม
แล้วยังไม่หล่ออีก แง แง

ชีวิตผมสองอาทิตย์แรกช่างสุขีสโมสรเสียเหลือเกิน กินๆ แล้วก็นอนพักผ่อนสบายใจ จนพ่อร้องเพลง
ฉันเป็นหนอนให้ฟังอยู่เป็นประจำ น้ำนมแม่ก็เริ่มมีมากขึ้นจากการกินน้ำร้อน อาหารอะไรที่กินแล้วเค้า
บอกว่ามีน้ำนม พ่อก็จะไปหาซื้อมาทำให้ ช่วงพักฟื้นแม่ก็ไม่ไปไหน อยู่กับผมตลอดเวลา พ่อก็รีบกลับ
บ้านไม่มีการโอ้เอ้ ภาพพจน์ของผมดีมากจริงๆ ดึกๆ ถึงจะตื่นขึ้นมาร้องหิวนม แต่พอกินเสร็จก็หลับต่อ
อย่างรวดเร็ว ช่วงนี้พ่อกับแม่ก็สลับกันตื่นขึ้นมาดูแลผม

การกินอาหารของผมก็เป็นไปตามขั้นตอน กินนมขวดสลับกับนมแม่บ้างขึ้นกับโอกาส ที่ยังน่าห่วงก็
คือน้ำหนักผมก็ยังไม่ขึ้นเท่าใดนัก ถึงแม้ตอนออกจากโรงพยาบาลจะขึ้นมาบ้างก็เถอะ แต่ชีวิตก็ต้องมี
สุขบ้างทุกข์บ้างคู่กันเป็นของธรรมดา

ปัญหาที่พบบ่อยสำหรับผมก็คือการสะอึก ผมสะอึกบ่อยมากแทบจะทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูป
นอกจากนั้นเนื้อหนังตามตัวก็เริ่มลอก ที่สะดือก็มีเลือดออก ตาก็ยังอักเสบอยู่มีขี้ตาติดตาอยู่เป็น
ประจำ และที่สำคัญคือผมจะปวดท้องร้องไห้งอแงตอนดึกๆ เสมอ ทั้งนี้เพราะท้องผมมีลม พ่อแม่แก้
้ปัญหาด้วยการโทรไปหายายหมอว่าอาการที่เกิดขึ้นจะอันตรายมากไหม ก็ได้ความว่าเป็นธรรมดา
แต่ถ้ากังวลก็ให้มาหาสิ หลังจากที่ส่งเงินค่าประกันงวดแรกไปแล้ว พ่อก็ไม่รีรอ รีบพาไปหายายหมอ
ทันที เนื่องจากความกังวลเพราะผมตัวเล็ก พ่อคิดว่าผมไม่สมบูรณ์ แต่ผมก็พยายามยิ้มบอกพ่อเสมอ
ว่าผมสบายดีนะไม่เป็นไร ทุกครั้งที่พ่อคุยกับแม่ถึงเรื่องผม ผมก็จะยิ้มรับเสมอ

พ่อจับผมใส่ห่อ ผูกหมวก อยากรัดกุม ไปหายายหมอ หลังจากชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงแล้ว ต้องทำอีก
อย่างหนึ่งนอกเหนือจากโรงเรียนประถมทั่วไปในเมืองไทย นั่นคือวัดขนาดกระโหลกศีรษะด้วย วัดว่า
มันโตตามปกติหรือไม่ ไว้วันหลังผมจะเล่าให้ฟังว่าเค้าวัดไปทำไม ยายหมอถามพ่อว่า เอ้ามีอะไรกังวล
บอกมา พ่อก็บอกไปว่าผมหนังลอก หมอก็เอาครีมทาให้ แล้วหันไปดุแม่ว่า ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมว่า
ให้เตรียมครีมพวกนี้เอาไว้ พอเสร็จพ่อก็ชี้ไปที่สะดือว่ามีเลือดออก ยายหมอก็เช็ดแผลแล้วก็เอายาใส่
พ่อก็ชี้ไปที่ตา หมอก็บอกเดี๋ยวสั่งยาหยอดตาให้ แล้วพ่อก็ถามว่าปวดท้องหล่ะ หมอก็บอกเดี๋ยวให้ยา
เหน็บตูดกับชาไปชงกิน แล้วสะอึกหล่ะ หมอยิ้มแล้วบอกว่าก็ปล่อยให้สะอึกไปสิ มันแก้ไม่ได้นี่นา

3/15/2005

กลับบ้าน

รถญี่ปุ่นคันโตที่ขับโดยย่าเยอรมันพาเราสามคนกลับสู่บ้านอันแสนสุขอีกครั้ง ก่อนจะได้กลับผมต้องแต่งตัว
อย่างรัดกุมมากๆ ก่อนจะถูกจับนอนลงในกระเป๋าแคบๆ ซึ่งในตอนนั้นก็ยังดูว่าใหญ่โตเกินไปสำหรับผม
กระเป๋าใบนี้พ่อกับแม่ได้ซื้อไว้ก่อนผมเกิดประมาณอาทิตย์กว่าๆ ถึงใบจะเล็กแต่ราคาก็สูงมากถึง 59 ยูโร ทั้งๆ ที่เป็นยี่ห้อธรรมดา ยี่ห้อนี้เป็นยี่ห้อยอดนิยมเพราะราคาถูกคุณภาพปานกลาง ซึ่งถ้าเป็นของที่ดีกว่านี้
หรือยี่ห้อที่คนมีเงินใช้กันก็จะราคาสูงขึ้นไปอีกเท่าตัว พูดถึงกระเป๋าใบนี้ พ่อและแม่ต้องใช้ความพยายาม
อย่างมากกว่าจะได้มันมา ไม่ว่าจะเข้าไปประมูล ebay หรือไปเดินหาตามร้านค้าทั่วไป กว่าจะได้ต้องใช้
เวลาหลายอาทิตย์ทีเดียว



การแต่งตัวเพื่อออกไปสู่โลกภายนอกของผมนั้น นอกจากกระเป๋าแล้ว ผมจะต้องมีหมวกที่ปิดหูได้และหนา
พอที่จะป้องกันผมจากความหนาวได้ เรื่องหมวกนี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พ่อและแม่ต้องใช้ความพยายาม
มากกว่าปกติ เพราะว่าของสำหรับเด็กที่นี่ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะทำไว้เพื่อคนที่ตัวโตกว่าผมทั้งนั้น
ทั้งที่จริงๆ แล้วเด็กแรกเกิดทั่วโลกขนาดจะไม่ต่างกันมากนัก แต่ผมดันไปเกิดในกลุ่มตัวเล็กเอง ทำให้ไม่
ว่าจะเป็นหมวกใบที่แม่กับพ่อเลือกซื้อมา เสื้อผ้าชั้นใน ผ้าอ้อมสำเร็จรูป รวมไปถึงเสื้อกันหนาวชั้นนอก
ดูจะใหญ่โตเกินไปสำหรับผม เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่มีอยู่ตอนนั้นก็มีของย่ากับยายซึ่งส่งมาจากเมืองไทย
ที่ส่วนใหญ่นั้นใหญ่เิกินไปสำหรับผมจริงๆ สาเหตุก็เนื่องมากจากข้อจำกัดหลายๆ อย่าง เช่นเสื้อผ้าต้อง
หนา ทำให้ทางเลือกที่เมืองไทยมีไม่มากนัก เสื้อผ้าที่พอจะใส่ได้ก็จะเป็นของพี่ลูกครึ่งข้างบ้าน กับชุดที่
น้องๆ นักเรียนไทยไปซื้อต่อจากเพื่อนอีกที ชุดเหล่านี้เล็กพอที่จะใส่แนบเนื้อผม และหลายๆ ตัวก็เป็นชุด
เก่งเลยหล่ะ

การแต่งตัวออกจากบ้านของผมจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากดังนี้
  1. ใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ใส่ชุดในที่เรียกกันว่า body
  2. ใส่ชุดนอกซึ่งอาจจะเป็นชุดไม่มีแขน กรณีที่ body เป็นแขนยาว ชุดนอกนี้ถ้าจะให้ดีต้องเป็นชุด ที่มีถุงเท้าในตัว และมีกระดุมที่ขากับก้น เพื่อความสะดวกในการเปลี่ยนผ้าอ้อมสำเร็จรูป
  3. ใส่ถุงมือ ที่หนาพอสมควร
  4. ใส่เสื้อกันหนาวชั้นนอก
  5. ใส่หมวก
  6. ใส่กระเป๋า
กว่าจะเสร็จสำหรับพ่อแม่มือใหม่ก็กินเวลานานมากๆ ทั้งนี้เพราะว่าทุกครั้งที่ผมร้องเนื่องจากไม่สบายเนื้อ
สบายตัว หรือโดนขัดใจบังคับให้ยัดแขนใส่โน่นใส่นี่ พ่อแม่ก็จะหยุดด้วยความกลัวว่าคิดว่าผมจะเจ็บ ใส่ๆ
หยุดๆ กว่าจะเสร็จได้ก็กินเวลานานมาก ในครั้งแรกนี้เนื่องจากย่าเยอรมันรออยู่ (ต้องไปทำงานต่อ ทิ้งงาน
มารับผมทีเดียว ย่าใจดีกับผมากๆ) และชุดนอกที่พ่อซื้อให้นั้นใหญ่มากๆ ผลที่ได้จึงออกมาดังรูปข้างล่าง
รูปทางซ้ายคือตอนปกติ รูปทางขวามือคือพร้อมที่จะออกแล้ว


ช่วงแรกๆ นี้เสียงร้องของผมจะน่าสงสารมากจริงๆ นะ พ่อกับแม่จึงไม่ค่อยกล้าทำอะไรแรง ผิดกันกับคุณ
พยาบาลที่ทำผมแบบรุนแรงมากเลย นัยว่ายิ่งเร็วยิ่งทำให้ผมได้รับความเจ็บปวดน้อย

2/09/2005

แล้วเจอกัน



พ่อมาที่ทำงานก่อนเพื่อมาบอกย่าเยอรมันว่า ไอ้ที่นัดกันไว้เมื่อวานน่ะเป็นอันว่าแห้ว(ไม่สมหวัง) จริงๆ แล้ว
ใครที่ต้องอยู่โรงพยาบาลนานเกินกว่า 3 วัน ก็คงจะมีความรู้สึกหดหู่เป็นธรรมดา พ่อเองที่ต้องไปอยู่เป็น
เพื่อนแม่ทุกวันก็คงมีความรู้สึกเดียวกับแม่ นั่นคือเศร้า ความเศร้านี้มันส่งผลให้พ่อซึ่งแข็งทื่อ ไม่รู้ร้อนรู้
หนาว แต่วันนี้น้ำตาลูกผู้ชายต้องหลั่ง ก็พ่อเจอย่าเยอรมันแล้วพ่อก็บอกเธอว่าอืมวันนี้ไม่ต้องไปรับแม่แล้ว
นะ ย่าก็ถามว่าทำไมหล่ะ เท่านั้นเองพ่อก็น้ำตาไหลแล้วบอกกับย่าว่าผมตัวเหลืองเกินไป หมอไม่ให้กลับ
(จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่โรงพยาบาลจะเรียกเงินจากประกันเพิ่ม ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วการที่ตัวเหลืองไม่มากนั้น
ไม่มีปัญหาอะไร เด็กทุกคนเคยผ่านสถานะนี้มาแล้วแทบทั้งนั้น) พ่อพูดพร้อมกับน้ำตาซึมที่ขอบตา ภาพที่
เห็นน่ารักพอดู ผู้ชายหัวยุ่งๆ ผมไม่เคยหวี กับหญิงเยอรมันวัยห้าสิบกว่าอ้วนๆ สวมกอดกัน ในขณะที่พ่อผม
ร้องไห้ ย่าก็ตบหลังเบาๆ พร้อมกับปลอบว่าไม่มีอะไรหรอก เด็กทุกคนก็ตัวเหลืองกันทั้งนั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้
พ่อยิ้มได้

พ่อไปเจอแม่ที่โรงพยาบาลอีก สองคนพ่อแม่ต่างหน้าตาไม่ค่อยดี ในขณะที่ผมก็ยิ้มอยู่แทบทุกครั้งที่ตื่น
ก็คงทำได้เท่านี้แหละ แม่เริ่มมีปัญหาคือเบื่ออาหาร ก็จะไม่ให้เบื่อได้อย่างไร อาหารโรงพยาบาลที่รู้กันว่า
แย่อยู่แล้ว แต่คำพูดที่ว่า "สิ่งที่แย่ที่สุดยังมาไม่ถึง" นั้นใช้ได้เสมอ ก็อาหารในโรงพยาบาลนั้นแย่ยิ่งกว่าแย่
ซะอีก ขนาดที่ว่าหญิงรัสเซียยอมอดไม่ยอมกิน

สิ่งที่พอจะทำให้หัวใจของพ่อกับแม่ชุ่มชื่นขึ้นมาได้บ้างก็คือสองสามวันมานี้มีคนมาเยี่ยมเยอะมาก
ก็เป็นน้องนักเรียนไทยที่เรียนอยู่ที่นี้ ซึ่งสลับกันมาทีละห้าคนสิบคน นอกจากนั้นก็มีเพื่อนร่วมห้อง
เรียนของแม่ก็มา แต่ละคนมาก็มีของฝากติดไม้ติดมือมาคนละชิ้นสองชิ้น เพื่อนแม่บางคนก็ทำอาหาร
มาให้กิน กะว่าจะมากินด้วยกันที่โรงพยาบาล แต่ปรากฎว่าจานชามช้อนที่นี่ไม่มี ก็เลยเสร็จพ่อ พ่อก็เอากลับไปกินที่บ้านแทน

วันต่อมาพ่อก็มาเยี่ยมแม่เป็นปกติ แม่ก็บ่นพยาบาลให้ฟังเป็นปกติ ผมก็ยังดูดนมแม่ซึ่งไม่ค่อยจะมีเป็นปกติ
กว่าพยาบาลจะเข้าใจว่านมในอกแม่มันแข็งเป็นก้อนอยู่ ก่อนให้ลูกดูดต้องเอาน้ำอุ่มมาประคบ หรือให้แม่
กินน้ำร้อนก่อน ก็เกือบจะสาย หมายความว่าผมเกือบจะต้องกินนมขวดแล้วจะไม่กลับไปกินนมแม่อีกเลย
(กินนมขวดนั้นง่ายกว่านมแม่มากนัก ไม่ต้องออกแรงดูดก็มีน้ำนมไหล เด็กและแม่เด็กส่วนใหญ่จะนิยม
ชมชอบนมขวดกันทั้งนั้น) ที่เป็นเช่นนั้นเพราะตามตำราหมอห้ามนักห้ามหนา ว่าสองอาทิตย์แรกอย่าสลับ
การให้นมขวดกับนมแม่เด็ดขาด แต่กรณีผมมันช่วยไม่ได้ เพราะน้ำหนักตัวผมลดลงอย่างมาก ก็ต้องกิน
อะไรบ้างเพื่อพยุงน้ำหนัก แต่การสลับนมกันกินนี้ไม่มีผลสำหรับผม ผมแยกแยะได้ว่าอันไหนนมแม่อันไหน
นมวัว (พ่อมารู้ทีหลังว่า นมแม่นั้นจะมีรสออกหวานๆ ในขณะที่นมสำเร็จรูปนั้นไม่เป็นรสเอาซะเลย)

วันนี้ก็เป็นวันที่เราสามคนมีความสุขมาก เพราะหมออนุญาตให้แม่กลับบ้านได้แล้ว เมื่อพ่อรู้ พ่อก็รีบโทรไป
บอกย่าเยอรมันทันที เธอก็บอกให้รอครึ่งชั่วโมงและให้เตรียมของให้เรียบร้อย เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง เพราะ
อาหารมื้อสุดท้ายของแม่นั้นเป็นไก่เสียบไม้ย่าง ร้านด้วยน้ำซ็อส แสนอร่อย (คนรัสเซียตื่นเต้นจนเรียกให้
แม่ดูอาหาร) แม่กินไปได้นิดหน่อย พ่อก็กินแทนด้วยความเต็มใจ





1/25/2005

อย่าทำผม


ปัญหาที่สามค ือเสียงผมยังแยกโทนเสียงไม่ได้ เป็นอะไรก็ร้องมันอย่างเดียว พ่อแม่ก็คิดแต่ว่าผมหิวอยู่เรื่อย เรื่องอย่างนี้มันช่วยไม่ได้ คืนนั้นผมกินอิ่มแต่ก็ยังร้องงอแง ก็เพราะว่าผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ใช้มันเต็มแล้ว ผมก็เฉอะแฉะเป็นธรรมดา ซึ่งนี่ก็คือปัญหาทั่วไปของเด็กๆ ผมยังร้องไห้อยู่ แม่พยายามให้ผมดูดนม
เพราะคิดว่าผมคงหิว แต่ที่จริงแล้วผมแฉะ คุณพยาบาลก็มาช่วยทำทุกวิถีทางให้ผมหยุดร้อง คนอัลบาเนีย
เตียงข้างๆ ก็รำคาญผลเต็มแก่แล้ว ในที่สุดทุกคนก็มองหน้ากันแล้ว อืมฉันว่าผ้าอ้อมสำเร็จรูปเต็มน่ะ
คุณพยาบาลก็จัดแจงไปเปลี่ยนให้เรียบร้อย ผมกลับมาสู่อ้อมอกแม่อีกครั้งด้วยรอยยิ้ม รอดไปอีกหนึ่งวัน

หลังจาก วันที่สองผ่านไปด้วยดี พวกเราก็ตั้งใจจะอยู่โรงพยาบาลอีกไม่กี่วัน ก็คงแค่วันอาทิตย์นั่นแหละ
แต่แล้วฝันของเราก็สลาย เมื่อพยาบาลพยายามรั้งครอบครัวเราอย่างเต็มที่ แต่โชคดีหน่อยที่เพื่อนข้าง
ห้องย้ายกลับบ้านไปแล้ว เหลือแต่แม่และผม ทำให้เราเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้อย่างไม่ต้องเกรงใจใคร ผม
ถูกกล่าวหาว่าตัวเล็กกว่าปกติ ต้องอยู่บำรุงอีกหน่อยและน้ำหนักก็ลดลงเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่มัน
น้อยอยู่แล้ว พ่อกับแม่ได้สอบถามพี่จูนซึ่งไปถามยายหมอมาให้อีกที ก็ได้ความว่าโรงพยาบาลที่เยอรมัน
เนี่ยยากจน ก็เลยต้องกันคนไข้ไว้นานๆ จะได้เอาเงินจากประกันได้เยอะๆ ถ้าเตียงเต็มเค้าก็จะไล่เราออก
เองแหละ

อยู่ไปสองวันก็ยังไม่รู้สึกอะไรนะครับ พอขึ้นมันที่สามสี่ น้ำตาก็เริ่มซึมกันทั้งพ่อทั้งแม่ วันอาทิตย์ก็กลับ
ไม่ได้ อ้างว่าหมอไม่อยู่ วันจันทร์ก็กลับไม่ได้น้ำหนักตัวยังลดลงอยู่เรื่อยๆ เอาหล่ะวันอังคารกลับได้แน่
นอนหมอบอกแล้ว พ่ออุตส่าห์ไปนัดย่าเยอรมันไว้ซะดิบดี ก็กลับไม่ได้ถูกอ้างว่าตัวเหลือง (ซึ่งจริงๆ แล้ว
ระดับความเหลืองถ้าไม่เกิน 25 ก็ไม่เป็นอันตรายอันใด) ถึงตอนนี้มีสาวรัสเซียมานอนเป็นเพื่อนแม่ และ
ก็แนะนำแม่หลายอย่าง

1/04/2005

อะไรเหรอ

                                                               

   ไอ้ convex set, convex function, gradient, Hessian
   เนี่ยมันอะไรเหรอ พ่อพูดกรอกหูให้ฟังอยู่ทุกวัน ไม่รู้จะ
   อะไรกันนักหนา แค่พูดคำง่ายๆ ว่า พ่อ หรือ แม่ ผมยัง
   ทำไม่ได้เลย พยายามอยู่ จริงๆ พูดคำว่า แม่ได้แล้วนะ
   เวลาหิวนม ก็จะร้องเรียกคำว่าแม่ตลอด แต่ไม่มีใคร
   พิสูจน์ได้ว่าผมพูดได้จริงๆ ก็มันเป็น nontrivial 
   solution  นี่นา มาเล่าเรื่องของผมกันต่อ ก็คือหลังจาก
   ที่ผมถูกบังคับให้ทำโน่นทำนี่ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำ ลองดูซิ
   ว่าผลมันเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากพ่อกลับถึงบ้าน เช้า
   วันต่อมาพ่อก็ต้องไปประชุมที่ภาควิชาฯ ก่อนแล้วค่อย
   มาหาผมช่วงสายๆ วันนั้นพ่อซื้อ Mc มาให้แม่กินด้วย
   คือกับข้าวโรงพยาบาลน่ะมันแย่ที่สุดในจักรวาลเลยนะ
   นึกว่าอยู่โลกพระอังคารแล้วกัน ของกินมันถึงได้ขัดสน
   ขนาดนั้น พ่อบอกแม่ว่าปวดเมื่อยไปทั้งตัวเลย  สาเหตุ
   ก็จากการ รั้งแม่เมื่อวาน แม่เองก็ปวดไปทั้งตัวเช่นกัน
 วันนี้ผมมีปัญหาสองสามอย่าง ที่ชัดๆ ก็คือ ขี้ตา ทำให้ผมลืมตาไม่ขึ้น อันที่สองผมหิวไม่มีนม
ให้กิน สามแม่ยังไม่เข้าใจว่าผมเปียกแฉะผมก็ร้องเหมือนกัน เรื่องขี้ตาเนี่ย แม่ของสามีแม่
หรือเรียกง่ายๆ ว่าย่าของผม แนะนำว่าให้เอาน้ำนมแม่หยอดตา แค่นั้นก็จะหาย แน่นอนหล่ะ
พ่อแม่มือใหม่ใครจะไปเชื่อ เกิดหยอดสุ่มสี่สุ่มหกไป ผมตาบอดไปว่าไง บนความไม่เชื่อนั้น
คนรัสเซีย ที่มาอยู่ร่วมห้องสองสามวันถัดมาก็แนะนำวิธี เดียวกัน ซึ่งหลังจากกลับบ้านไป
แล้ว ผมไปหาหมอ หมอให้ยาหยอดตามาหยอดอยู่อาทิตย์หนึ่งก็ไม่หาย แค่ดีขึ้นๆ ลงๆ พ่อ
ลงทุนไปถามย่าเยอรมัน ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน หลังๆ ก็มีหลายคนแนะนำ วิธีดัง
กล่าว แม่ก็เลยถามคุณยายหมอเยอรมันว่าได้หรือเปล่า คำตอบคือน้ำนมแม่รักษาได้ทุกโรค
ดีกว่าเงิน สามสิบบาทเสียอีก เท่านั้นหล่ะ แม่ก็จัดการหยอดตาผมด้วยน้ำนมซึ่งตอนนั้นมีมาก
พอที่จะหยดแล้ว ได้ผล วันต่อมาผมลืมตาได้และไม่มีขี้ตาอีกเลย และหลังจากนั้นผมก็ไม่
ค่อยอยากจะหลับตาอีกเลย อิ อิ

 ปัญหาที่สองเป็นเรื่องแปลกที่การดูดนมแม่นั้นไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ เหตุผลค่อนข้างซับซ้อน
อันแรกแม่จะมีน้ำนมก็ต่อเมื่อลูกดูดนมแม่ แต่ลูกจะดูดนมแม่ได้ก็ต่อเมื่อแม่มีน้ำนม ในวัน
แรกที่ออกมาดูโลกของผม แม่จะมีน้ำนมค่อนข้างน้อยและเป็นน้ำใสๆ ซึ่งหมอบอกว่าน้ำใสๆ
นี้มีประโยชน์มาก เริ่มแรกทีเดียวผมดูดนมได้ไม่อิ่ม ทำให้ผมหิว และการที่แม่ไม่มีน้ำนมให้
ผม ในขณะที่ผมหิวจัด นั่นก็ หมายความว่าผมต้องออกแรงดูมหาศาล ซึ่งแรงดูดมหาศาลนี้
พ่อได้ทดสอบผมโดยให้ผมดูดนิ้วก้อย ซึ่งนั่น ทำให้พ่อรู้สึกเจ็บเลยทีเดียว แล้วอย่างนี้ทำไม
แม่จะไม่เจ็บหัวนม ผมเลยกลายเป็นชายที่ทำให้แม่เจ็บที่สุด ไปแล้ว แม่หลายคนยอมแพ้
เลิกในลูกดูดนมในช่วงต้น แล้วหันไปให้นมจากขวดแทน หรือสลับไปสลับมา หมอไทยใน
หนังสือบอกว่าการทำอย่างนั้นจะทำให้เด็กน้อยอย่างผมสับสน และเลิกดูดนมแม่ซึ่งยากกว่า
ไปเลย ซึ่งสำหรับผมเองเนื่องจากในวันที่สองและสาม น้ำหนักตัวผมลดลองไปมาก แล้วก็
ยังร้องกวนมาก เวลาหิว ทำให้ผมต้องต้องป้อนด้วยนมขวดสำหรับเด็กแรกเกิดสลับกับการ
กินนมแม่ แต่ผมก็ยืนยันว่าชอบ ทำอะไรยากๆ โดยการชอบดูดนมแม่มากกว่า โดยที่ผม
พยายามทำหน้างงๆ เวลากินนมจากขวด เพื่อให้แม่ และพ่อรู้ว่าผมไม่ชอบ ปัญหามันไม่
หมดแค่นั้น เนื่องจากการสร้างน้ำนมแม่นั้นเป็นฟังก์ชันแบบ monotonic ขึ้นกับการดูดของ
ผม กล่าวคือถ้าผมดูดมาก น้ำนมแม่ก็จะถูกสร้างมากขึ้น (ทำให้นมแม่ใหญ่ขึ้นด้วย) ใน
ขณะเดียวกันถ้าผม ดูดน้อยน้ำนมแม่ก็จะถูกสร้างน้อยตามมา การแก้ปัญหานี้ก็ืคือต้อง
บังคับให้ผมดูดนมแม่ให้นานที่สุด เท่าที่จะทำได้ แต่ก็หละครับ เด็กทุกคนมีปัญหาเดียวกัน เวลาได้รับไออุ่นจะอกแม่และไม่หิวจัด บรรยากาศ อย่างนี้ก็ทำให้ง่วงนอนเป็นที่สุด ก็ไม่
เกินห้านาทีหรอกครับหลับกันหมด ทางแก้ก็สกิดขาบ้าง หูบ้าง เพื่อให้ดูดกันต่อ ที่นี้ช่วง
แรกเกิดผมนั้นหลับง่ายมาก พยาบาลเลยต้องอาศัยเครื่องปั๊มนมเวลาผมหลับ เพื่อให้เสมือน
หนึ่งว่ามีคนดูดนมแม่อยู่ ทำให้น้ำนมถูกสร้างเพิ่มมากขึ้น แต่จนแล้วจนรอดน้ำนมแม่ก็ยัง
ไม่พอให้ ผมดื่มกินอยู่ดี ย่าผมบอกว่าให้เอาผ้าชุบน้ำร้อนประคบนมก่อน เพื่อให้นมละลาย
ทั้งนี้เพราะนมแม่แข็งมาก นั่นหมายถึงมีน้ำนมอยู่เต็ม แต่มันไม่ไหล ในวันเดียวกันนั่นเอง
พยาบาลก็ใช้วิธีเดียวกับที่ย่าบอกคือเอา วัสดุอุ้มน้ำชุมน้ำร้อนมาปะคบนมแม่ โอมันก็ดีขึ้น
นะ นี่แหละตำราเดียวกันทั่วโลก แต่สิ่งหนึ่งที่พยาบาลลืม ก็คือตำราไทยบอกว่าแม่เด็ก
ต้องกินน้ำร้อนเท่านั้น แต่ที่โรงพยาบาลเราไม่ได้ทำอย่างนั้นกัน ต้องกลับมา บ้านอาทิตย์
ต่อมานั่นแหละถึงได้ทำ ซึ่งหลังจากทำเช่นนั้นบวกกับกินอาหารเพิ่มน้ำนมเช่น ถั่ว กับ ขิง
แล้ว ก็ทำให้แม่มีน้ำนมมากขึ้นตามลำดับ โย่ว