2/24/2006

เมื่อหมาซ่าไม่ออก ตอนที่ 2

สองสามคืนมาแล้ว ที่พ่อและแม่ไม่ได้นอนเต็มตา อาการเจ็บป่วยของหมาน้อยมักจะ
กำเริบหลังเที่ยงคืนไปแล้ว

มันช่างแย่เสียเหลือเกิน สำหรับการเดินไปหาหมอในหุบเขาคนฮา(harburg)แ่ห่งนี้ ทางเดียว
ที่จะกระทำได้คือต้องเดินไป ไปแล้วก็ต้องไปรอแต่ละครั้งไม่ต่ำกว่าชั่วโมงถึงแม้จะนัด
ล่วงหน้า คุณหมอสาวสวยตรวจผมอย่างละเอียดแต่ไม่ได้พบอะไรที่สาหัส พ่อค่อนข้าง ดีใจที่ผมไม่เป็นอะไรหมอก็ไม่ได้ให้ยาอะไรเป็นพิเศษ อ้าวงี้ก็ซ่าต่อได้แล้วดิ

แต่แทนที่ไปหาหมอแล้วอาการผมจะดีขึ้น เปล่าเลยผมกลับแย่ลง ผมเริ่มเจ็บคอ ไอ แล้ว
ตามด้วยมีน้ำมูก ด้วยความที่เป็นวันเสาร์พวกเราทำอะไรมากไม่ได้นอกจากจะไปร้าน
ขายยาแล้วขอซื้อยาแก้ไอสำหรับเด็ก รวมไปถึงยาลดไข้สำหรับเหน็บก้น ที่เมื่อเหน็บที
ไรผมก็จะดีขึ้นทันตาเห็น ไม่รู้เพราะฤทธิ์ยาหรือว่าผมหวงก้น หลังจากที่ผมมีอาการไอ ทุกอย่างก็ดูแย่ไปหมด พ่อแม่สงสารผมอย่างไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร มีอยู่คืนหนึ่งแม่ถึง
กลับเก็บอาการไม่อยู่ปล่อยโฮออกมา ก็มันเป็นวันอาทิตย์ ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะคอย
วันจันทร์ ภาพของความเป็นอยู่ที่แสนจะสุขสบายที่เมืองไทยได้กลับเข้ามาวนเวียนอยู่
ในหัวของแม่อีกครั้ง ในขณะที่พ่อพูดไม่ออก แม่บ่นอย่างเจ็บช้ำน้ำใจว่า ถ้าอยู่ที่เมืองไทย จะไปหาหมอเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นี่ต้องนั่งรอทำอะไรก็ไม่ได้ ว่าแล้วน้ำตาของผู้เป็นแม่ก็หยด
ลงมาที่แก้มผม ผมนั้นทั้งสงสารแม่แต่พูดไม่ออก ก็เพราะยังพูดไม่ได้นี่นา แทนที่จะ
ทำอะไรให้แม่สบายใจได้บ้าง ผมกลับทำไม่ได้ อาการเจ็บจี๊ด ๆ นะ เจ็บจี๊ด ๆ ก็เกิดขึ้น
อีก ผมได้แต่นอนบิดตัวไปมา ในขณะที่พ่อเริ่มสงสารแม่และตาก็เริ่มแดง ซึ่งอาจจะเป็น
เพราะพิษไข้ก็ได้ พ่อติดหวัดจากผมไปแล้วและก็เริ่มเจ็บคอเป็นอย่างแรก

อาการเจ็บป่วยของผมนั้นหนักขึ้นกว่าเมื่อสองสามวันก่อนมาก พ่อเองก็เป็นหนักมาก
เหมือนกัน ในขณะที่แม่เป็นด้วยแต่เล็กน้อยเท่านั้น บทหนักจึงไปตกที่แม่ในฐานะที่ต้อง
ดูแลผม และพ่อก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก ถึงแม้ป่วยพ่อยังคุยติดตลกขณะที่เช็ด
น้ำมูกสีเขียวปี๋ที่จมูกผมว่า "หมาอ้วนมีมีทายาทอสูรแล้ว เดี๋ยวก็หาย" คำพูดถึงแม้จะ
ช่วยให้ตลกได้ แต่มันรักษาโรคไม่ได้ พ่อและแม่ยังต้องอดนอนต่อไปอีก เพื่อดูแลผม
ในตอนดึก ๆ คำพูดของอาต้อมผู้ดูแลนักเรียนไทยในเยอรมันยังคงก้องอยู่ในหูของพวก
เรา

นับไปเถอะค่ะ อีำกห้าสิบครั้ง จนถึงสามขวบนั่นแหละ
จำนวนคือจำนวนการเจ็บป่วย และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พ่อกับแม่ได้รับรู้ว่า เมื่อหมาซ่า
ไม่ออกนั้นมันหนักหนาแค่ไหน ผมซ่าไม่ออกแม้จะออกไปข้างนอกเจอสาว ๆ สวย ๆ
ที่ปกติผมจะต้องร้องจีบคนโน้นทีคนนี้ที แต่นี่ทำได้แค่เพียงนอนอมยิ้ม

ผมยังไออยู่ ยาแก้ไอที่โฆษณานักหนาว่าดีอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย
เราโทรติดต่อหาป้าจูนเรื่องนี้ ยายหมอสั่งให้ไปเอาใบสั่งยาที่บ้าน เพื่อไปเช่าเครื่องพ่น
น้ำเกลือ แล้ววันอังคารต่อมาเราก็พากันไปหาคุณยายหมออีกที เธอตรวจแล้วก็
สั่งยาให้เราไปซื้อ ไม่วายที่จะตำหนิเราว่าก่อนให้ยาลดไข้ต้องวัดอุณหภูมิด้วยนะ
39 องศาน่ะ ถึงจะให้ยาลดไข้ได้ เอาเป็นว่านอกจากเราจะซื้อยาแล้วยังต้องไปซื้อ
เทอร์โมมิเตอร์มาวัดไข้อีก พ่อมารู้ทีหลังว่าคุณยายหมอตำหนิ แล้วก็บ่น ๆ ว่าตำรา
ไทยบอกว่าไม่ต้องซื้อ จับตัวดูก็รู้แล้วว่าไข้ขึ้นสูง ตำราเยอรมันบอกว่าต้องวัดเปะ ๆ
ไม่งั้นห้ามให้ยา นี่มันสะท้อนถึงลักษณะของสังคมไทยและเยอรมันที่แตกต่างด้วย
นะเนี่ย อ้าวทำเป็นเล่นไปให้น้ำเกลือที่นี่ต้องมีเครื่องวัดอัตราการไหลควบคุมด้วยนะ

จะด้วยความหล่อ ซ่า หรือว่ายาของคุณยายหมอดี หรือไม่ก็ทายาทอสูรออกฤทธิ์
ก็ไม่ทราบได้ หลังจากกินยางวดแรกแล้ว อาการไอกับเจ็บคอของผมก็ดีขึ้น หลาย
วันหลังจากนั้นน้ำมูกก็เปลี่ยนเป็นสีใส แล้วผมก็หายไข้ในที่สุด

2/09/2006

เมื่อหมาซ่าไม่ออก ตอนที่ 1

ความซ่าของคนเราย่อมต้องมีขีดจำกัด ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งหมาน่ารักอย่างผม(อย่าสับสนกับ
เสื้อผ้านะครับ) ผมถูกตั้งฉายาว่า "ซ่าเหมือนแม่ กวนตีนเหมือนพ่อ" โดยสาวโก๊ะอันดับหนึ่งแห่ง
ฮัมบวร์ก ความซ่าของผมไม่เคยหยุดแม้กระทั่งยามเจ็บไข้ ไม่ว่าท้องเสีย เป็นหวัด หรือติดเชื้อ
ไวรัส เชื้อแบคทีเรีย ผมไม่เคยเลยที่จะแสดงอาการของผู้ป่วยให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

แต่ความเจ็บป่วยก็ไม่เคยละเว้นใคร วันนั้นผมยังจำได้แม่นในคืนอันแสนหนาวและเงียบสงบ
มีเพียงหมาอ้วนตัวน้อยตัวเดียวเท่านั้นที่ยังหลับไม่ลง ความร้อนในร่างกายมันสูงเกินกว่าที่ผม
จะข่มตาลงได้ ผมเริ่มครางหงิง ๆ เป็นแม่อีกตามเคยที่เริ่มรับรู้ความผิดสังเกตนี้ได้ แม่ดูจะตื่น
ตระหนกอย่างมาก พ่อที่ถูกปลุกให้ตื่นอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก กับการที่จะให้มารับรู้เรื่องราว
ของความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติบนหน้าผากผม ตรงนี้ผมกับแม่ก็เข้าใจพ่อ เพราะว่า
โดยปกติแล้ว ผมจะเป็นเด็กขี้ร้อน (หมอเขียนในหนังสือว่าเป็นเรื่องปกติของเด็ก ๆ) ร้อนขนาด
ที่ว่า พ่อมักใช้ผมผิดวัตถุประสงค์เสมอ ๆ บางครั้งหน้ามืดตามัวเห็นผมเป็นถุงน้ำร้อนไปได้
ด้วยเหตุนี้กระมัง พ่อจึงมักจะมองว่าความร้อนระดับนี้เป็นเรื่องปกติ

แม่พยายามพิสูจน์ต่าง ๆ ด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา ให้พ่อเชื่อ ในที่สุดจะด้วยเหตุผลว่าพ่อง่วง
หรืออะไรก็สุดแท้ พ่อก็ยอมรับว่าผมตัวร้อนจริง ๆ ผมเริ่มดิ้นทุรนทุรายเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้แม่
เมื่อพ่อเชื่อว่าเป็นจริง พ่อก็มักจะกระทำวิธีการต่าง ๆ นานา โดยไม่ค่อยบอกเหตุผล หรือ
อธิบาย ซึ่งต่างกับแม่ที่ต้องการคำอธิบายก่อนลงมือทำ ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน พ่อเหน็บยาลดไข้
ให้ผม (แน่นอนที่ตูด) แล้วก็ลงมือถอดเสื้อผ้าผมออกทีละชิ้น จนเหลือแต่เพียงชุดแนบเนื้อสุด
เซ็กซี่ เอาผ้าเช็ดตูดผมมาเปลี่ยนหน้าที่เป็นผ้าเช็ดหน้า (ข้างซองบอกว่าทำได้นะ) เพื่อลด
อุณหภูมิภายนอกของร่างกายผม ในขณะที่ผมยังครางหงิง ๆ ออเซาะอยู่

ถึงแม้จะนอนเตียงเดียวกัน แต่อาการหวาดกลัวของคนสามคนนั้นดูจะแตกต่างกันออกไป
พ่อกลัวว่าผมจะเป็น พาราไทฟอยด์ เหมือนที่พ่อเคยเป็น ซึ่งอาการที่เห็นได้คือตอนกลางวัน
ปกติ แต่ตอนกลางคืนไข้จะขึ้นสูงมาก ๆ ในขณะที่แม่กลัวผมจะชัก ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ แล้ว
ถ้าถามว่าเจ้าหมาน้อยอย่างผมนั้นกลัวอะไร สิ่งที่ผมหวาดกลัวที่สุดก็คือ กลัวซ่าไม่ออกน่ะสิ

เมื่อความกลัวแตกต่างกันออกไป การแสดงออกก็แตกต่างกันออกไปด้วย ผมครางหงิง ๆ
ในขณะที่พ่อแสดงความเป็นผู้นำของบ้าน ลุกขึ้นนั่งถางตาดูว่าเมื่อไหร่ผมจะหลับลง ในขณะ
ที่แม่ต้องการคำปลอบโยน มันช่างเป็นความโหดร้ายของวิถีชีวิตในเยอรมันแท้ ๆ ที่วันอาทิตย์
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของคนเยอรมันจะปิดหมด คนเยอรมันที่จะมี
ชีวิตรอดก็อาจจะต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นคนตุรกีบ้างบางครั้ง นี่รวมไปถึงร้านขายยา เราไม่มียา
อื่น ๆ เลยนอกจากยาลดไข้สำหรับเหน็บก้นผม แล้วมันก็ใกล้จะหมดแล้วด้วย

ย่าหมอ ได้เชิญเราไปเที่ยวบ้านเนื่องในโอกาสอยากรื้อต้นคริตส์มาสเต็มแก่ แต่แขกสำคัญ
อย่างผมยังไม่ได้ยลโฉมมันเลย เราก็ถือโอกาสนี้ไปให้ย่าหมอตรวจซะเลย แล้วจะได้ขอ
ยาลดไข้ไว้สำรองด้วย พอวันจันทร์ครอบครัวเราก็จะไปหาหมอได้แล้ว เมื่อไปหาย่าหมอ
ความซ่าได้เอาชนะความเจ็บป่วยไปจนหมด ผมวิ่งทั่วบ้าน เล่นทุกอย่างที่เล่นได้ จะเวลาค่ำ
เข้ามาเยือน หมาก็เริ่มครางหงิง ๆ ย่าหมอจะผมไปตรวจวัดไข้ โดยการเอาเทอร์โมมิเตอร์
ไปจิ้มตูด ย่าส่งมันกลับมาให้พ่อดู พ่อสังเกตอยู่พักหนึ่งแล้วก็เอามันจิ้มเข้าปาก บ้าเหรอ
ไม่ได้จิ้ม จากนั้นย่าก็เอายาลดไข้มาเหน็บก้นผม แล้วก็ให้คำอธิบายว่าอาการนี้เป็นอาการของ
ไวรัสชนิดหนึ่ง ปล่อยไว้ซักพักก็หายไปเอง ถ้าไม่แน่ใจก็ไปหาหมอ อ้าวแล้วหมอที่อยู่ตรง
หน้านี่หล่ะ พ่อทำหน้างง ๆ ในขณะที่ย่าอธิบายต่อว่า ตอนนี้ตรวจให้ไม่ได้ เพราะไม่มี
เครื่องมือ ต้องเจาะเลือดพิสูจน์โลหิต ถึงจะบอกได้ว่าเป็นอะไรแน่ เอาเป็นว่าทุกอย่างผ่าน
ไปด้วยดีผมยังซ่าได้ แต่ในท้องฟ้าที่เงียบสงบ มันมักจะแฝงความนัยร้าย ๆ เอาไว้เสมอ