8/26/2005

โรงแรมนรก



เอาเป็นว่าเราขึ้นเรือได้ อากาศ
ที่นี่ก็ไม่ค่อยเป็นใจต่อการนั่ง
เรือนัก ลมค่อนข้างแรง แดด
ออกแต่หนาวจับใจ ถ้าเราเข้า
ไปในตัวเรือที่มีหลังคาก็จะร้อน
ไม่สบายตัวอีก การเดินทาง
โดยเรือหางสั้นลำนี้ค่อนข้าง
จะสบายแต่ช้าด้วยเหตุุุนี้เอง
ผมจึงถูกจับไปนั่งที่โน่นทีที่นี่
ทีประหนึ่งว่าผมเป็นของเล่น
ก็ไม่ปาน พวกพี่ๆ แวะเวียนมา
เล่นด้วยตลอด บ้างก็มาถ่าย
รูป บ้างก็มาเล่นตลกให้ดู ผม
ก็ได้แต่ขำๆ นะ แต่ยังโตไม่
พอที่จะขำอะไรได้มากนัก
ตอนอยู่บนเรือผม


ร้องงอแงบ้าง แต่ไม่มาก จำได้ว่าร้องครั้งไหนเป็นได้กินนมทุกครั้ง พ่ออุ้มไปเดินเล่นบ้าง
ที่กาบเรือด้านนอก เสียวจับใจเพราะลมแรงแต่ก็สนุกดี พ่อเคยจำฝังใจในอดีตว่าเคยโดน
พ่อแกล้งจับยกขึ้นเหนือบ่องูที่เชียงใหม่ กลัวฝังใจก็เลยไม่กล้าเล่นจับผมออกไปนอกตัว
เรือเลยซักครั้ง ก็ดีไปจะได้ไม่มีประสบการณ์เสียวฝังใจไปจนโต การนั่งเรือนานๆ ที่มีเสียง
บรรยายถึงสิ่งก่อสร้างรอบข้างที่ฟังไม่รู้เรื่อง สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก ก็เพราะ
ผมยังไปไหนมาไหนเองไม่ได้ ร่างกายมันช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย ถึงแม้ว่าผมจะพยายาม
ขยับอย่างไร แขนขามันก็ไม่มีเรี่ยวแรง พอที่จะยกตัวผมขึ้นไปไหนมาไหนได้ ผมทำได้ก็
แต่ร้องเรียกให้พ่อกับแม่อุ้มเดินไปไหนต่อไหน บางครั้งก็ได้ผล บางครั้งก็ได้นมมายัดปาก
แทน ถ้านมหมดก็จะได้จุกนมหลอกใส่ปากเป็นอันว่าอิสรภาพหมดลงตรงนั้น



เรื่องราวหลังจากนี้ผมรู้ว่าพ่อกับแม่และพี่ๆ สนุกกันมาก สำหรับผมนั้นไม่สนุกเลยอากาศ
มันเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว และผมก็อ่อนเพลียมากทำให้ผมหลับไปตลอดทาง ถึงแม้ว่าจะมี
เสียงหัวเราะหยอกเย้าดังมาเข้าหูเป็นระยะๆ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมใส่ใจได้ เมื่อผมตื่นขึ้น
มาผมก็พบกับเรือลำเดิมพบกับพวกพี่ชุดเดิมๆ สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงลีลา และที่น่าแปลก
ใจมากคือพลังของพวกพี่ๆ ไม่เคยตกในขณะที่พลังงานของผมหมดลงไปนานแล้ว



เมื่อขึ้นจากเรือแล้ว เราก็เดินเที่ยวกันต่อก่อนที่จะแยกย้ายกันไปยังที่พัก มันเป็นโรงแรม
ที่ไม่มีดาวแต่ราคาแพงใช้ได้อยู่ รถเข็นคันเก่งพาร่างกายอันไร้เรี่ยวแรงของผมไปเรื่อยๆ
โรงแรมนั้นหายากเอาการอยู่ แต่พอพวกเราตั้งหลักหาเลขที่ตึกเจอ อะไรๆ ก็ง่ายไปหมด
พ่อซึ่งเคยผ่านแต่ B&B ที่อังกฤษมา ก็ยังคิดอยู่ในใจว่าไอ้ราคา 70 ยูโรต่อหนึ่งคืน มันต้อง
มีอะไรเทียบเคียงได้กับ 50 ปอนด์ที่อังกฤษได้ จึงมิได้คิดอะไรนับตั้งแต่จองโรงแรมแล้ว



พวกเราพากันเดินต่อไปตามถนนที่สามารถมองทะลุยาวไปข้างหน้าได้สุดลูกหูลูกตา หมาย
เลขป้ายบอกเลขตรงกับแผ่นกระดาษที่พิมพ์ไว้ เบื้องหน้าของพวกเราเป็นตึกสูงสี่ชั้นเป็น
แถวต่อกันยาวเหยียด พ่อรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่มันแค่คูหาเดียว แสงแดดที่ลับขอบฟ้าไป
แล้วทำให้สภาพของโรงแรมดูวังเวง พ่อกดกระดิ่งหลายครั้ง พนักงานก็ยังไม่ลงมาเปิด
ประตู พ่อหันหน้าไปหาลูกคณะสองสามทีเพื่อให้แน่ใจว่าคนอื่นๆ ยังเต็มใจรอกันอยู่ เวลา
ผ่านไปอีกไม่นาน เจ้าของโรงแรมผอมสูงพาหน้าที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกโผล่ออก ก่อนบอก
ว่าประตูมันเสียยังไม่ได้ซ่อม ก่อนที่จะพาพวกเราขึ้นไปบนโรงแรม



ตัวตึกแคบๆ ของโรงแรมยังถูกแบ่งส่วนหนึ่งเป็นส่วนต้อนรับ อีกครึ่งหนึ่งคือบันได ....

8/12/2005

ลงรถ ขึ้นเรือ


คำกล่าวที่ว่า "ขึ้นรถ ลงเรือ ไปเหนือ ล่องใต้"
คงจะใช้กับการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ เมืองคน
ค่อมสะท้านโลกที่เราไปถึงนี้ก็เหมือนกับเมือง
อื่นๆ ทั่วๆ ไปในยุโรป คือมีถนนแคบๆ เยอะแยะ
ไปหมด ไปไหนมาไหน ถ้าไม่เมื่อย การเดินก็
คือการเดินทางที่ดีที่สุด คณะเดินทางตัดสินใจ
พักรับประทานอาหารราคาถูกก่อนจะไปขึ้นเรือ
ผมจำได้แม่ว่าตั้งแต่ร้านอาหารที่มีสัญลักษณ์
เป็นตัวเอ็มแห่งนี้มีสินค้าราคา 50 บาท กินหนึ่ง
ชิ้นไม่อิ่มขึ้นมา มันก็ทำให้พ่อกับแม่มีทางเลือก
มากขึ้น แทบทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก พ่อกับ
แม่ก็จะลงทุนควักกระเป๋าซื้ออาหารที่ว่ากินทุก
ครั้ง จนบัดนี้หน้าพ่อก็ได้กลายเป็นเบอเกอร์ไก่
ไปแล้ว

แต่แน่นอนหล่ะ ผมคนหนึ่งที่ไม่ชอบอาหารไร้
คุณค่าราคาถูกพวกนี้หรอก ยังไม่ทันไรพ่อก็ยื่น
ขวดนมขวดเก่าที่ผมเห็นจนชินตาตั้งแต่เกิดให้ น้ำนมอาจจะมีรสชาติเปลี่ยนไปบ้างตามอายุผม
แต่มันก็ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง ถึงมันอร่อยสู้น้ำนมแม่ไม่ได้แต่มันก็ดีกว่าเบอเกอร์ไก่ละน่า ใน
ขณะที่ผมตั้งหน้าตั้งตาดูดนมจากขวด พ่อก็จัดการกับเบอเกอร์ไก่ชิ้นที่สองหมดแล้วด้วยเวลาอัน
รวดเร็ว พ่อกับแม่หันไปมองหน้ากันโดยพ่อทำทีว่าถ้าแม่ไม่กินอีกชิ้นที่เหลือ พ่อจัดการก็ได้นะ
ส่วนแม่ก็รู้ใจ รีบยื่นให้ทันที ในขณะนั้นพวกพี่ๆ ก็กำลังถ่ายรูปกันและกันอยู่อย่างสนุกสนาน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพี่ริกที่ได้รับเกียรติอันน่าภาคภูมิใจ ในการเป็นหนึ่งในของแปลกที่น่าจดจำ

เวลาผ่านไปได้ซักพัก เมื่อเวลาเหลือไม่มาก และผมก็อิ่มแล้ว โดยการสบัดจุกนมออกจากปาก
อันน้อยนิด ก็เป็นอันว่าทุกคนรู้ว่าผมอิ่มแล้ว เดินทางต่อได้ แม่อีกตามเคยที่พร้อมก่อนคนอื่น
ในขณะที่พ่อก็เป็นคนคอยตรวจสอบความผิดพลาดอันพึงจะเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจว่า
ลืมของหรือไม่ ถ้าอันไหนพ่อมั่นใจว่าไม่ลืมแล้ว พ่อก็จะแกล้งแหย่แม่กับพี่ริกว่าลืมของหรือเปล่า
จนป่านนี้แล้ว พี่ริกก็ยังไม่วายห่วงหนังสือเดินทาง เมื่อพ่อทักพี่ริกก็กำมันแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ขบวนของเราเวลาเดินจะแยกเป็นสามกลุ่มค่อนข้างชัดเจน พวกที่นำหน้าก็คือพวกที่จะต้องรับผิด
ชอบขบวนให้ไปถึงที่หมายในเวลาที่กำหนด พวกที่อยู่ตรงกลางก็จะคอยทำหน้าที่ไม่ให้พวกที่รั้ง
ท้ายหลงและคอยตรวจสอบการตัดสินใจของพวกแรก ในขณะที่กลุ่มสุดท้ายจะเป็นกลุ่มที่สำคัญ
ที่สุดเพราะต้องคอยเก็บรายละเอียดของการเดินทาง ยกตัวอย่างเช่นพี่ริก พี่โซ่ พี่เจิน ก็จะทำ
หน้าที่เก็บภาพถ่ายร่วมกับคิงคองยักษ์หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง หรือไม่ก็เก็บภาพที่เป็นสัญลักษณ์
แปลกประหลาดร่วมกับอนุสาวรีย์ เป็นต้น ถ้าขาดกลุ่มสุดท้ายนี้พวกเราก็คงจะมีแต่รูปวิวสวยๆ ของ
พี่เอกเป็นแน่ ผมเองจะอยู่ในกลุ่มกลางสลับกับกลุ่มหน้าเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนรับผิดชอบ
รถเข็นของผม ถ้าเป็นพ่อผมก็จะอยู่กลุ่มกลาง ถ้าเป็นแม่ผมก็จะซิ่งไปอยู่กลุ่มหน้า จะมีบ้างบางครั้ง
ที่พ่อจะย้ายไปอยู่กลุ่มหน้า แต่ก็ไม่บ่อยนัก

พ่อแกะแผลสิวสีดำดวงใหญ่ที่ขึ้นตรงลักยิ้มพอดีเล่น ในขณะที่พี่เอกรับหน้าที่ไปถามเจ้าหน้าที่ที่ท่า
เทียบเรือ เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว เรือที่เราต้องนั่งไปกำลังจะออก เจ้าหน้าที่กำลังนับจำนวนลูก
เรือเล่น พี่เอกหันหน้ามาช้าๆ บอกพวกเราว่า เรือที่เราต้องไปด้วยนั้นอยู่ห่างออกไปอีกห้าร้อยเมตร
พ่อดูนาฬิกาเข็มเรือนเดิม มันบอกพ่อว่าเราเหลือเวลาอีก 5 นาที ทุกคนพยักหน้ารับ แล้วพวกเราก็วิ่ง
ในขณะที่พึ่งวิ่งมาได้ไม่นาน เพราะเข้าใจผิดว่าท่านี้แหละ พลังงานของพวกเราเหลือน้อยเต็มที นี่ถ้า
เราไปไม่ทันมันก็คงจะทำให้เรามีเวลาว่างมากขึ้นอีกสามสี่ชั่วโมง แต่นั่นจะทำให้เราพลาดสิ่งที่สวย
งามที่สุดแห่งหนึ่งของแดนกังหันลมแห่งนี้ แม่อีกแล้วที่ทุกคนยังคิดอะไรไม่ออก ผมและแม่ก็นำ
หน้าออกไป โดยมีพี่เอกนำหน้าอยู่ไม่ห่าง ความดีนี้ต้องยกให้พี่เอก เพราะการที่พี่เอกวิ่งออกหน้า
ไปโดยลืมสังขารความแก่เฒ่าของตัวเองเพื่อไปให้ถึงที่ขายตั๋วให้ได้ก่อนที่เรือจะออก แล้วแจ้งให้
พนักงานทราบว่ายังมีผู้โดยสารที่ต้องการไปอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง มันทำให้พวกเราไม่ตกเรือ

8/05/2005

ไปตามหากังหันลม 2


ใกล้ที่หมายเข้าไปทุกทีแล้ว หลายคนกำลังตื่นตัว
บางคนก็ตื่นเต้น บางคนก็เฉยๆ บางคนก็หลับอยู่
ภาพที่เห็นที่นอกหน้าต่างตอนนี้แตกต่างจากภาพ
อันจำเจของสองสามชั่วโมงที่ผ่านมา ทิวทัศน์
เริ่ม เปลี่ยนจากลักษณะของเยอรมันไปเป็นแดน
กังหันลมเข้าไปทุกที ผู้คนจากไหนก็ไม่รู้วิ่งกรูขึ้น
มาบนเจ้ามังกรปลุกให้ทุกคนละจากความคิดที่
กำลังโลดแล่นอยู่ในสมองให้หันไปดู ได้ความว่า
ราคาค่ารถไฟที่นี่มันเท่ากันหมด ทุกคนก็เลยกรููู
กันขึ้นรถ EC หรือไม่ก็ ICE กันพวกเราดูเหมือน
จะตื่นตกใจกับสิ่งที่เห็นกันหมดยกเว้นเพียงชีวิต
น้อยๆ ของผมและพ่อของผมที่ไม่ได้ตื่นเต้น
มากนัก คนหนึ่งกำลังกังวลว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้น
หรือไม่ อีกคนกำลังกังวลว่ามันจะเกิดขึ้นแล้ว
ผมทำตัวสั่นเหมือนคนเกิดอาการขนหัวลุก ไม่
ได้เจอผีแต่อย่างไร แต่อึจำนวนหนึ่งกำลังไหล
ผ่านรูทวารหนักน้อยๆ ของผมออกมา เจ้าสิ่ง
ปฎิกูลออกมานั้น ว่ากันว่าเป็นสิ่งที่เหม็นเป็น
อันดับสองของโลกจะเป็นรองก็เพียงแต่ผล
ผลิตของพ่อเท่านั้น อันนี้ผมไม่ได้ว่าแต่ได้ยิน
แม่พูดบ่อยครั้ง จำได้ว่าครั้งหนึ่งพ่อเคยนึก
หมั่นไส้ผมเพราะว่าผมดันไปอึที่ๆ ทำงานของพ่อ และครั้งนั้นนับได้ว่าเป็นผลงานชั้นเยี่ยมทีเดียว โชคดีที่เป็นวันเสาร์ไม่มีใครอยู่นอกจากผม พ่อและแม่ กลิ่นของมันช่างกดโสตประสาทให้จมลึก
ลงไปสู่ห้วงบ่อเกรอะได้เป็นอย่างดี พ่อคงคิดว่าผมควร จะรับรู้ถึงความเป็นไปของๆ สิ่งที่ออกมา
จากรูทวารของผม พ่อ จึงจัดการจับหัวผมกดลงไปในถุงที่บรรจุผ้าอ้อมอนามัยใส่อึของผม ได้ผล
สิครับผมร้องไห้จ้า ก็กลิ่นมันสุดที่จะทนจริงๆ สิ่งที่พ่อกลัวก็ไม่ใช่อะไรที่ไหน โดยปกติแล้วผม
จะร้องบอกทุกครั้งที่ผมอึเสร็จแล้ว ไม่ไม่ชอบให้ก้นผมแฉะ และถ้าผม ไม่ได้ดั่งใจผมก็จะร้องดัง
ขึ้นดังขึ้นเรื่อยๆ จนมีคนมาเปลี่ยนให้นั่นแหละ นั่นหมายความว่าถ้าจังหวะสุดของผมไปตรงกับช่วง
เวลาลงรถ แล้วหาสถานที่ี่เปลี่ยน ผ้าอ้อม สำเร็จรูป ให้ผมไม่ได้หล่ะก็ พ่อกับแม่คงมีอะไรสนุกๆ
แน่ๆ เลย

กลิ่นเหม็นๆ โชยไปทั่วห้อง มีพ่อกับหนุ่มแสน
เหงาพี่โซ่ที่รับรู้ได้ก่อน


ผมร้องบอกพ่อแม่ว่าเสร็จแล้ว
ก็เป็นอันว่ารู้กันว่าเสร็จแล้วได้
เวลาทิ้งผ้าอ้อมสำเร็จรูปอันเก่า
แล้ว คนที่ดีใจที่สุดก็คือพ่อ
เพราะหลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อม
แล้ว เราก็ยังมีเวลาเหลือให้รื่น
รมย์ชมวิวรอบข้างอีกนานโข
ในขณะที่ผมก็คงเป็นเด็กไทย
ไม่กี่คนหรืออาจเป็นคนแรกที่
ได้มีโอกาสได้อึบนรถเอเซ
(EC) พ่อยิ้มให้กับผมอย่าง
อารมณ์ดี ก่อนหันไปส่งยิ้ม
หวานให้แม่ คงสื่อความหมาย
ว่าลูกเรารู้จังหวะดีจังนะ คงไม่
ได้บอกแม่ว่าอึของผมรสชาติ
ิไม่เคยเปลี่ยนเลย



เราลงจากเจ้ามังกรตัวยาวที่เมืองหลวงของแดนกังหันลม แต่ไม่ได้แวะเที่ยวอะไร เพราะที่ๆ เรา
จะไปในวันแรกนี้เป็นดินแดนแห่งกังหันลมตัวจริง ก่อนอื่นเราต้องนั่งเจ้ามังกรตัวใหม่สีน้ำเงิน
เหลือง สภาพไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าใดนัก และกว่าจะได้ขึ้นหลังเจ้ามังกรสกปรกตัวนี้ พ่อก
็ต้องรอแม่กับพวกพี่ๆ ไปซื้อตัวอยู่นาน ได้ความว่าต้องไปต่อคิวยาวมาก ตู้ซื้อตั๋วก็ไม่รับธนบัตร
รับแต่เหรียญ คนก็ต้องไปหาเหรียญแลกกันให้วุ่นไปหมด กว่าจะได้ขึ้นและกว่าจะไปถึงว่ากัน
ตามจริงแล้วรถไฟของเนเธอร์แลนด์นั้นเทียบไม่ได้กับของเยอรมันเลย ไม่ว่าเรื่องไหนๆ แต่สิ่ง
ที่เยอรมันไม่มี แต่รถไฟที่นี่มีก็คือทิวทัศน์ของทุ่งทิวลิปหลากสีภายนอก พี่ริกถูกปลุกจากหลับ
ทันทีที่ทุกคนได้เห็นทุ่งทิวลิปแล้ว ทิวลิปผืนแล้วผืนเล่าผ่านสายตาพวกเราไปอย่างรวดเร็ว ผม
เองนอกจากไม่รู้เรื่องอะไรแล้วยังกวนแม่เล่นเป็นระยะ บางครั้งผมก็จะถูกเอานมใส่ปากบ้าง
หรือไม่ก็เป็นจุกนมสำหรับดูดเล่นบ้าง แต่ส่วนใหญ่ผมก็หลับ พ่อเองดูจะไม่ได้สนใจอะไรกับ
สีสวยสดของทุ่งทิวลิปเท่าใดนัก พ่อคงคิดว่าในไม่ช้าก็คงจะได้สัมผัสของจริง จะรีบร้อนตื่นตา
ตื่นใจไปไย แม่อาจจะรำคาญหรืออยากจะพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ได้เห็นก็เลย ปล่อยผมนอนหลับ
ภายใต้สายตาของพ่อ ในขณะที่แม่ก็ไปร่วมวงสนทนากับพี่น้องต่างมารดาแต่สนใจเรื่องเดียวกัน
แวะมาเยี่ยมเยียนพ่อบ้างบางครั้ง ผมจำไม่ได้แล้วว่าพ่อเผลอหลับไปกี่ที แต่จำได้แน่ว่าหลับ

8/03/2005

ไปตามหากังหันลม 1


ท้องฟ้าบางส่วนเปลี่ยนเป็นสีดำทึมๆ หลายคนคงคิดไปว่าฝน
จะตกในไม่ช้า น่าแปลกที่คราวนี้พ่อไม่ได้แสดงความกังวล
ใดๆ ให้เห็น คงเป็นเพราะมัวสาละวนกับการโทรศัพท์ไปแกล้ง
เพื่อนร่วมชะตากรรม คนที่ต้องรับเคราะห์กับมุกที่แม่เรียกว่า
มุขเถื่อนๆ ก็ไม่ใช่ใคร ยังคงเป็นพี่ริกสุดที่รักของพ่อนั่นเอง
พ่อหัวเราะชอบใจ ก่อนจะถูกทำให้หน้าจ๋อยเมื่อได้รับสาระ
ว่าคนโทรจะต้องเสียเงินด้วย

หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ พ่อยังนั่งง่วงอยู่บนเจ้ามังกรสีขาวตัวยาว
อยู่เลย อากาศที่สดใสยามเช้าคงทำหน้าที่เป็นยารักษาความ
ง่วงที่ดีมากอันหนึ่ง ตัวผมเองยังคงทำตามปรือด้วยความง่วงอยู่
โดยปกติแล้ว ชีวิตในวัยทารกของผมไม่ค่อยได้ตื่นเช้ามากนัก แม่มักจะชักชูงให้ผมหลับต่อเสมอ วันนี้คงเป็นวัน
หนึ่งที่อาจจะมีไม่บ่อยนักที่ผมต้องตื่น เจ้ามังกรอีกตัวมันกำลังจะมารับผม เพื่อพาผมออกไปยังดินแดนที่ไม่ใช่
แผ่นดินเกิดของผม

สักพักใหญ่ โดยไม่ต้องรอให้เข็มวินาทีเคลื่อนเลยกำหนดการ เจ้ามังกรตัวยาวสีขาวมัวๆ ตัวใหม่เคลื่อนกายเข้า
มาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้มันจะไม่ขาวนวลสว่างเหมือนอย่างเจ้าตัวแรก แต่ถ้าไม่สังเกตมากเกินไปหน้าตาของมัน
ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตัวแรกมากนัก คราวนี้ครอบครัวเราไม่พลาด เป็นแม่อีกเ่ช่นเคยที่รู้ล่วงหน้าว่าส่วนลำตัวตรง
ไหนที่มีห้องพักสำหรับคนมีเด็กเล็ก ด้วยความฉลาดเช่นนี้ของแม่กระมังที่ทำให้แม่เลือกพ่อเป็นพ่อของผม แม่
นำพวกเราไปสู้เป้าหมายได้อย่างแม่นยำ

พี่เอกทำหน้าที่ช่วยยกรถเข็นคันเดิมแต่คราวนี้เปี่ยมไปด้วยสัมภาระหนักอึ้งเหมือนเคย ตู้โดยสารที่เราเข้าไปนั่ง
คราวนี้นอกจากจะเป็นห้องที่มีผนังกระจกปิด มีที่นั่งหกที่เหมาะสำหรับกิจกรรมสี่คนขึ้นไปแทบทุกประเภท ตัว
ผมเองไม่ได้รับอนุญาตให้นั่งอยู่ในรถ แต่ถูกจับเปลี่ยนอิริยาบถให้ไปนอนอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมกลางห้องแทน
พี่ริกกับพี่โซ่เข้ามานั่งกับเรา

ช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมพูดน้อยลง ยิ่งได้ออกมาผจญโลกภายนอกอย่างนี้แล้วผมก็ยิ่งไม่อยากพูด ได้
แต่มองไปรอบๆ และสังเกตโลกที่เปลี่ยนไปเท่านั้น ผมพบว่าบางครั้งบางคราวเจ้ามังกรก็หยุดไม่เคลื่อนไหว
บางครั้งก็วิ่งไปข้างหน้าช้าๆ สภาพรอบด้านก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจากป่าบ้าง ทุ่งนาบ้าง บรรยากาศน่านอนอย่างนี้
กลับไม่ทำให้พ่อรู้สึกง่วงเลย พ่อมีกิจกรรมให้ทำสลับสับเปลี่ยนกันไปตลอดทาง พ่อเปลี่ยนจากอุ้มผมคุยกับผม
เปลี่ยนไปมองหน้าทำตาซึ้งให้แม่บ้าง บางครั้งพ่อก็ทำท่าง่วง แม่ก็สลับเอาผมไปอุ้ม เป็นอย่างนี้ไปตลอดทาง เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี เสียงสัญญาณจากโทรศัพท์ซีเมนส์ M65 ที่พ่อรักมันน้อยกว่าผม
ไม่มากนัก ก็ดังขึ้นสองที นี่ไม่ใ่ช่สัญญาณธรรมดาที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่เป็นเสียงสัญญาณที่บอกเราว่าเรากำลังจะ
ข้ามแดนออกนอกแผ่นดินเกิดของย่าเยอรมันแล้ว เกิดการเยาะเย้ยถากถางถึงความดีเด่นของเครื่องรับสัญญาณ
ความถี่สูงขึ้นเป็นระยะ ก่อนที่พ่อจะนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ ไม่ใช่มันไม่เกี่ยวกับ passport ของพี่ริก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก สีหน้าพ่อแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด พ่อจ้องมองมาที่ผมเหมือนกับเป็นการส่ง
สัญญาณให้ผมได้รับรู้ว่าเรื่องที่จะเิกิดขึ้นนี้ผมจะมีส่วนเข้่าไปเกี่ยวข้องด้วย.............